ทวงคืน ปตท.

ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

เปิดผลประโยขน์ทับซ้อนไทย-เขมร ทักษิณ-ฮุนเซ็น จ้องฮุบ


จาก www.voteno.co.th

แม้ว่าปมปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชาใน เรื่องเขตพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ภาคประชาชนเรียกร้องรัฐบาลให้ยกเลิก MOU 2543 ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนั้นจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่เรื่องดังกล่าวนั้นมีความสำคัญนอกเหนือจากอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่พิพาท ดังกล่าว อีกด้วย
เนื่องจากปมดังกล่าวเป็นเพียงจุด เริ่มต้นของการเปิดประตูขุมทรัพย์ทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา โดยกัมพูชาพยายามที่จะผลักดันการแบ่งเส้นเขตแดนด้วยแผนที่ 1 : 200,000 ที่แนบตาม MOU 2543ซึ่งจะทำให้ พื้นที่ทับซ้อนของเขตแดนทางบกเชื่อมโยงไปถึงเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่มี มูลค่าอภิมหาศาล ตั้งแต่ปราสาทพระวิหาร ไปทางจังหวัดสระแก้ว-สุรินทร์-อุบลราชธานี-จันทบุรี และตราด
จึงไม่แปลกที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ล้วนจับจ้องขุมทรัพย์นี้ตาเป็นมันโดยเฉพาะ ชาติมหาอำนาจที่พยายามเข้าไปแสวงหาประโยชน์จากขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่มีการ ประเมินว่าเป็นแหล่งพลังงานที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งที่ 2 ของโลกที่ยังเหลืออยู่ และจุดนี้เองที่นักการเมืองไทยและสมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชาต่างรู้ดี และได้กลายเป็นแหล่งที่เตรียมผลประโยชน์รองรับไว้แล้วก่อนหน้า
ดังนั้น หากกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา จบลงที่ไทยไปเสียท่ายอมรับแผนที่ 1 : 200,000 ก็จะส่งผลกระทบต่อหลักหมุด 73ซึ่งคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศสจัดทำขึ้น ตั้งแต่ปี 2451 ซึ่งมีการปักหลักหมุดทั้งหมด 73 หมุด ตั้งแต่หมุดหลักที่ 1 บริเวณช่องสำงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ มาถึงหลักหมุด 73 ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยที่ผ่านมาไทย-กัมพูชามีปัญหาเรื่องหลักหมุดต่อกันมาตลอด โดยเฉพาะมีหลายหลักหมุดในบางพื้นที่ที่สูญหายไป
หลักหมุด 73 นี้เองที่เป็นที่รู้กันดีว่าหากมีการคลาดเคลื่อนแม้เพียง 1-2 ลิปดาแล้ว พื้นที่ทับซ้อนบริเวณอ่าวไทยที่มีอยู่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตรจะกลายเป็นของกัมพูชาทั้งหมด นอกเหนือจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 กิโลเมตรแล้ว หลักหมุด 73 นี้ก็เป็นจุดที่รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญ และยืนกรานว่าจะยอมไม่ได้เด็ดขาด
เปิดขุมทรัพย์มหาศาลใต้ทะเลอ่าวไทย
ในส่วนของ ขุมทรัพย์ทางทะเล 26,000 ตารางกิโลเมตรที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชานี้ จากการสำรวจเบื้องต้นพบข้อมูลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งมีการประเมินว่ามีมูลค่าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวสูง ถึง 5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตรและถ้ามีการขุดเจาะจริงอาจพบในปริมาณมากกว่าที่ประมาณ เบื้องต้นมากกว่าด้วย
แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญในแวดวง พลังงาน เปิดเผยว่า ล่าสุดองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา หรือ Cambodian National Petroleum Authority (CNPA) ได้ว่าจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญทำการสำรวจและขุดเจาะและพัฒนาทรัพยากรจากแหล่ง พลังงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่าง ไทย-กัมพูชา เป็นจำนวน 10 หลุม และพบว่าบริเวณไหล่ทวีปของกัมพูชามีปริมาณก๊าซธรรมชาติกว่า 4 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมันกว่า 200 ล้านบาร์เรล ขณะที่บริเวณไหล่ทวีปฝั่งไทยก็มีการสำรวจและขุดเจาะพบว่ามีปริมาณก๊าซ ธรรมชาติและน้ำมันกว่า 7 แสนล้านบาร์เรล
“การขุดเจาะ สำรวจแหล่งพลังงานใต้ทะเลทั้งของไทยและกัมพูชาบริเวณใกล้เคียงกับแอ่งพลัง านที่อยู่ใจกลางพื้นที่ทับซ้อน ที่ถือว่ามีอยู่ในปริมาณมากซึ่งพูดง่ายๆว่านี่เป็นเพียงชายขอบของแอ่ง พลังงาน ซึ่งหากมีการสำรวจพื้นที่ทับซ้อนใต้ทะเลก็ประมาณการได้ว่าจะมีพลังงานมหาศาล อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก”
สอดคล้องกับข้อมูลรายงานของบริษัทเชฟรอนที่ทำไว้เมื่อปี 2548 ว่า ได้มีการค้นพบบ่อน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ ในพื้นที่ 2,427 ตารางกิโลเมตรทางตอนใต้ของกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่สัมปทานแปลงเอ เนื้อที่ 6,278 ตารางกิโลเมตร ที่คาดว่าจะมีน้ำมันสำรองถึง 700 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติอีก 3-5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ธนาคารโลกประเมินว่าแหล่งพลังงานในกัมพูชาน่าจะมีน้ำมันถึง 2 พันล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ไหล่ทวีป ขณะที่เขตพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา นั้นลักษณะทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่าเป็นแอ่งกะทะที่มีการประเมินว่าคุณภาพของ ทรัพยากรใต้ทะเลมีคุณภาพระดับดีหรือใกล้เคียงกับแหล่งพลังงานของประเทศ มาเลเซียเนื่องจากการทับถมในยุคเดียวกันนั่นเอง
แต่การที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น จำเป็นต้องสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้งว่าพื้นที่ดังกล่าวมีปริมาณก๊าซ ธรรมชาติและน้ำมันอยู่ปริมาณเท่าใด จำเป็นจะต้องมีการขุดเจาะขึ้นมาก่อนจึงจะประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ แต่ขณะนี้แม้ว่าทั้งรัฐบาลไทย-กัมพูชาจะมีการให้สัมปทานบริษัทต่างๆ เพื่อทำการสำรวจแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครที่สามารถขุดเจาะน้ำมันขึ้นมาได้จริง เนื่องจากยังติดปัญหาข้อขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา
ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ในพื้นที่ทางทะเลของกัมพูชา บริษัท เชฟรอน ได้รับสัมปทานอนุญาตขุดเจาะ และยังมีบริษัทจากไทยคือบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (PTTEPI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. ได้ร่วมทุน 30% กับอีก 2 บริษัท คือ บริษัท Resourceful Petroleum Ltd. และ SPC Cambodia Ltd. อีก 10% เป็นของ CE Cambodia B Ltd. ทั้งนี้ ปตท.สผ.อ.ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาในการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ นอกชายฝั่ง ในบริเวณอ่าวไทย แต่ยังมีพื้นที่แหล่งนี้ที่กัมพูชาเรียกว่า “บล็อก B” และ ปตท.สผ. ตั้งรหัสว่าโครงการจี 9/43 มีการพบเบื้องต้นว่ามีน้ำมันและก๊าซจำนวนมาก แต่ในหนังสือรายงานประจำปี 2550 ได้ระบุว่าเป็นพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างไทย-กัมพูชา และกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องเส้นแบ่งเขตทางทะเล หรือเป็นหนึ่งในพื้นทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชาอีกพื้นที่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการให้สัมปทานบริษัทต่างๆ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคนในแวดวงพลังงานรู้กันดีว่า ผลประโยชน์ด้านพลังงานกับภาคการเมืองของไทยนั้นมีสัมพันธ์อันแนบแน่น ซึ่งนักการเมืองไทยมักจะได้ประโยชน์จากการให้สัมปทาน และสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นยุคสมัยที่ได้ชื่อว่ามีการแลกผลประโยชน์ด้านสัมปทาน มากที่สุดด้วย
ทักษิณ ร่วมวง-ตีซี้ฮุนเซน
ปมดังกล่าวต้องย้อนกลับไปในช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณที่หลังจากได้ผลักดันจน สามารถแปรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)ให้เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้สำเร็จ ก็เชื่อว่าได้เห็นลู่ทางการแสวงหาผลประโยชน์จากการลงทุนขุดเจาะทรัพยากร ธรรมชาติทางทะเลและพยายามผลักดันเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด
ทั้งในแง่ของพฤติกรรมส่วนตัวโดยตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี พ.ต.ท.ทักษิณไปเยือนกัมพูชา 4 ครั้ง และสมเด็จฮุนเซนมาเยือนไทย 4 ครั้งโดยขณะนั้นยังไม่มีการตั้งข้อสงสัยต่อความสัมพันธ์ดังกล่าว
จนกระทั่ง นพดล ปัทมะ ขณะที่ดำรงตำแหน่งรมว.การต่างประเทศได้ลงนามแถลงการณ์ร่วมให้กัมพูชาสามารถ ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ ในวันที่ 18 มิ.ย.2551จนวันที่ 8 ก.ค.2551 คณะกรรมการมรดกโลกได้ทำการรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาในที่สุด ซึ่งขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้ถูกยึดอำนาจจากรัฐบาลทหารตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 เรื่องดังกล่าวจึงชะงักและยุติลงโดยปริยายเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณสิ้นอำนาจ
ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐการความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยในขณะนั้นปรากฏ อย่างมากมาย ซึ่ง เจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร อธิบายว่า ในปี 2547 รัฐบาลทักษิณได้อนุมัติให้เงินกู้กัมพูชาอัตราดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 827.4 ล้านบาท เพื่อสร้างถนนแบบให้เปล่ากว่า 4 แห่งโดยที่กรมทางหลวงออกแบบให้ จนทำให้มีการตั้งข้อสังเกตจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ถึง 2 โครงการใหญ่ คือโครงการปรับปรุงและลาดยางผิดจราจรเส้นทางสายตราด/เกาะกง-สะแรอัมเปิล (R48)และโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 67 (R67) อันลองเวง-เสียมราฐ
ในเวลาต่อมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้องไปลงทุนทำธุรกิจ Entertainment complex ที่เกาะกงในกัมพูชาด้วย โดยมีการจั้งข้อสังเกตว่าอาจโดย นสพ.ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 – 24 ส.ค. 2551 เรื่อง “สตง.พบ 2 โครงการปล่อยกู้ ‘ฮุนเซน’ เอื้อชินคอร์ป? คดีเอ็กซิมแบงก์ โผล่เขมร ทักษิณ!ตัวการอีกแล้ว” โดยมองว่าโครงการดังกล่าวอาจมีการเอื้อผลประโยชน์ชาติเพื่อแลกผลประโยชน์ ส่วนตัวคล้ายกรณี Exim bank ปล่อยกู้ให้รัฐบาลพม่า
รวมถึงข้อสงสัยในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน โดย การทำธุรกิจโทรคมนาคมร่วมกัน ซึ่งกัมพูชาได้มอบสัมปทานให้ บริษัท แมคโบเดีย ชินวัตร (CamShin) ให้บริการระบบดาวเทียมไอพีสตาร์ มือถือ ฯลฯ โดยในปี 50 บริษัทแคมโบเดีย ชินวัตร มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์ สูงถึง 72% และลูกค้าในระบบ Prepaid มีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ยังมีธุรกิจไอบีซีเคเบิลทีวีประเทศกัมพูชา ของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น ที่มี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เคยเป็นผู้จัดการพัฒนาธุรกิจ และช่วงนั้นยังเป็นช่วงเดียวกันกับการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซนเดินทางมาไทยเพื่อเยี่ยมชมกิจการชินคอร์ป ในวันที่ 10 ส.ค.2549 ด้วย
ที่น่าสนใจก็คือว่าแม้เส้นทางอันลองเวง-เสียมราฐ จะมีเหตุผลเรื่องของการเชื่อมแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่จะเชื่อม โยงมาถึงจ.ศรีษะเกษของไทย แต่ในเส้นทาง ตราด-เกาะกง-สะแรอัมเบิล กลับยังไม่ชัดเจนว่ามีเหตุผลเช่นใดหรือมีความจำป็นมาก-น้อยแค่ไหน เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีการตัดถนนเส้นหนึ่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาไปแล้ว รวมถึงเส้นทางตราด-เกาะกง-สะแรอัมเบิล มีจุดที่กระทรวงคมนาคมเสนอการกู้เป็น 2 ระยะ และมีการเพิ่มวงเงินอีก 300 ล้านบาท จนเป็นจุดที่น่าสังเกตโดยข้อเท็จจริงเมื่อปล่อยกู้ไปแล้วรัฐบาลกัมพูชาจะ ต้องเป็นผู้ควบคุมโครงการ แต่รัฐบาลในขณะนั้นยังคงติดตามรายละเอียดโครงการต่อให้กับกัมพูชา เพราะการปล่อยกู้เงินกู้เพิ่มโดยสำนักงบประมาณอีก แต่ก็ไม่ปรากฎว่าโครงการนี้สตงยังคงติดตามอยู่หรือไม่ แต่พฤติกรรมต่างๆที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นคำถามที่โยงไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจ ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ธุรกิจพลังงานที่หลายฝ่ายเริ่มมีความสงสัย ก็มีความชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ก่อน นพดล จะไปลงนามแถลงการร่วมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสนใจที่จะลงทุนธุรกิจพลังงานในกัมพูชา เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยเฉพาะการเช่า เกาะกง ซึ่งมีรีสอร์ตดังอย่าง “สีหนุวิลล์” เป็นจุดขาย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หารือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว
จับตา เพิร์ลออยล์ เอี่ยวแม้ว
ความสัมพันธ์ของบุคคลทั้ง 2 ในอดีตจึงสามารถประเมินได้ว่ามีการติดต่อและดำเนินธุรกิจซึ่งธุรกิจพลังงาน จากกรณีอ่าวไทยก็เป็นสิ่งที่ยังต้องจับตา ขณะที่การแสวงหาประโยชน์ทางทะเลนั้น ว่ากันว่ามีกลุ่มทุนซึ่งมีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาดำเนินธุรกิจการ สำรวจและขุดเจาะพลังงานในพื้นที่อ่าวไทยอย่างจริงจัง
เจะ อามิง ยังตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งก็คือ บริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับสัมปทานในการดำเนินกิจการสำรวจและขุดเจาะแหล่งพลังงานในอ่าวไทยในหลาย พื้นที่ซึ่งหากเป็นบริษัททั่วไปคงไม่มีข้อสงสัยมากนัก แต่การสำรวจข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กรรมการของเพิร์ลออย มีตำแหน่งเป็นกรรมการในบริษัทที่เกี่ยวข้องรวม 8 บริษัท โดยล้วนแล้วแต่ประกอบธุรกิจรับสัมปทานสำรวจ และขุดเจาะน้ำมันแทบทั้งสิ้นโดยที่มีทุนจดทะเบียนเพียงบริษัทละ 100 ล้านบาท รวมถึงบางบริษัทยังไม่ได้บันทึกรายได้ โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุดคือเพิร์ลออย (ประเทศไทย) มีรายได้ปี 2549 รวม 7,071 ล้านบาท กำไร 1,654 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 16.54 บาท
เมื่อตรวจสอบย้อนไปพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า บริษัทเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จำกัด แต่เดิมชื่อ บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ ประเทศไทย จำกัด จัดตั้งเมื่อ 16 ก.พ.2547 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่อาคารไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า เวสท์ ชั้น 10 นอกจากนี้ยังพบว่า “เพิร์ลออยล์ (สยาม) ได้จดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติซ เวอร์จิน อังกฤษ โดยมีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นบุคคลสัญชาติแคนาดา อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน เพียงคนละ 1 หุ้น เท่านั้น โดยยังพบว่าบริษัทอื่นที่คาดว่ามีความเกี่ยวพันกับ เพิร์ลออยโดยตั้งอยู่ในอาคารเดียวกันดังนี้ 1.บ.เพิร์ลออย (ประเทศไทย) จำกัด 2.บริษัท เพริ์ลออยล์ บางกอก จำกัด 3.บริษัท เพริ์ล ออยล์ ออฟเชอร์ จำกัด4.เพิร์ลออย (ปิโตรเลียม) จำกัด 5.เพิร์ลออย (รีซอสเซส) จำกัด 6.บริษัท เพริ์ล ออยล์ (อมตะ) จำกัด 7.เพิร์ลออย ออนชอร์ จำกัด และ8.บริษัท เพริ์ล ออยล์ (อ่าวไทย) จำกัด
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ไม่อาจมองข้ามได้ ก็คือ ในช่วงปี 2542 โมฮัมหมัด อัลฟาเยด (Mohamed Al Fayed) เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ (harrods) เพื่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จัดตั้ง บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ขึ้นเพื่อขอสัมปทานทำธุรกิจน้ำมันในไทย อีกด้วย
“หากมีการประเมินว่า แหล่งพลังงานในอ่าวไทยนี้ไม่มีศักยภาพมากพอ ก็สวนทางกับการที่บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่หลายแห่ง เข้าพบกัมพูชา เพื่อหวังที่จะเข้าขุดเจาะ ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นกรณีสำคัญ ที่มองข้ามไม่ได้”
ขณะที่ข้อมูลซึ่งแสดงในแผนที่แสดงแปลงสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย ของ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน แสดงให้เห็นการได้รับสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ของบริษัทด้านสำรวจพลังานยักษ์ใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น บ.ยูโนแคล บ.เชฟรอน บ.ไอเดนมิตซุย ซึ่งถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ บริเวณทรัพยากรทางทะเลบริเวณอ่าวไทยซึ่งเป็นสิทธิของไทยโดยตรงมีการเปิดเผย ว่ามีโครงการเจาะสำรวจในปี 53 ดังนี้ 1.โครงการผลิตปิโตรเลี่ยมในทะเลอ่าวไทย แปลงสำรวจหมายเลข B12/27 แหล่งอุบล ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด 2. โครงการผลิตปิโตรเลี่ยมในทะเลอ่าวไทย แปลงสำรวจหมายเลข G1/48 ของบริษัท เพริ์ล ออยล์ (อมตะ) จำกัด 3. โครงการเจาะสำรวจปิโตรเลี่ยมในแหล่งมโนราห์ทะเลอ่าวไทย (เฟส 2) แปลงสำรวจหมายเลข G2/48 ของบริษัท เพริ์ล ออยล์ ออฟเชอร์ จำกัด 4. โครงการเจาะสำรวจปิโตรเลี่ยมในอ่าวไทย แปลงสำรวจหมายเลข G3/48 ของบริษัท เพริ์ล ออยล์ (อ่าวไทย) จำกัด 5. โครงการผลิตปิโตรเลี่ยมในแหล่งวาสนาทะเลอ่าวไทย แปลงสำรวจหมายเลข G10/48 ของบริษัท เพริ์ลออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด 6. โครงการผลิตปิโตรเลี่ยมในแหล่งนงเยาว์ทะเลอ่าวไทย แปลงสำรวจหมายเลข G11/48 ของบริษัท เพริ์ลออยล์ บางกอก จำกัด
อย่างไรก็ตาม ข้อเคลือบแคลงสงสัยในบริษัท เพิร์ลออย ไม่อาจที่จะตรวจสอบไปยังผู้ถือหุ้นได้ เนื่องจากบริษัทดังกล่าว ได้จดทะเบียนในหมูเกาะบริติช เวอร์จิ้นซึ่งได้รับสิทธิการปกปิดข้อมูลของผู้ถือหุ้นจึงทำให้ยากต่อการตรวจ สอบ
พ.ร.บ.ปิโตรฯ.เปิดช่องรุมทึ้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณจะสิ้นสุดลงจากการรัฐประหารแต่การแสวงหาผล ประโยชน์จากกลุ่มทุนและนักการเมืองยังคงไม่จบสิ้น เนื่องจากมีการตั้งสังเกตจากแหล่งข่าวในแวดวงพลังงานว่า อาจมีการเปิดช่องครั้งสำคัญในยุคของรัฐบาลพ.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าในขณะนั้นได้แก้ไขพระราชบัญญัติ ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ด้วยการออก พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ฉบับที่ 6 ( พ.ศ.2550) โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อนักลงทุนต่างชาติ และแหล่งพลังงานในอ่าวไทยมีขนาดเล็กจึงทำให้มีความเสี่ยงสูง รวมถึงช่วยให้มีการคล่องตัวในการดำเนินกิจการ
กล่าวโดยสังเขป ดังนี้ 1.มาตรา14 รัฐมนตรีว่าการระทรวงพลังงานมีอำนาจในการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออก กฎกระทรวง ซึ่งควรที่จะออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี 2.มาตรา 33 การโอนสัมปทานสามารถทำได้เพียงได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี และ3. มาตรา 99 (ตรี) ลดหย่อนค่าภาคหลวงจากเดิมที่ไม่เกินร้อยละ 30 หรือรัฐจะได้ค่าภาคหลวงร้อยละ60-70 แต่แก้ไขให้สามารถลดหย่อนค่าภาคหลวงได้ถึงร้อยละ90 หรือรัฐได้เพียงร้อยละ10 เท่านั้นทำให้มีเงินส่งรัฐลดลงเป็นจำนวนมาก เป็นต้น
“มีการมองว่าผู้ที่มีอำนาจในแวดวงพลังงานทั้งนักการเมือง และข้าราชการระดับสูงพยายามที่จะแก้ไขกฎหมาย โดยในขณะนั้นอาจมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวละครหลัก แต่การแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียมก็พบว่า อาจเป็นการเปิดช่องให้กับกลุ่มต่างๆงายขึ้นทั้งในกลุ่มนักการเมือง หรือบริษัทเอกชนในลักษณะที่รัฐอาจเสียประโยชน์อย่างมหาศาล “
ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขพ.ร.บ.ดังกล่าวจึงส่งผลโดยตรงต่อการเข้าขอสัมปทานของบริษัทต่างๆโดย เฉพาะบริษัทขนาดเล็กอย่างเพิร์ลออย ที่ได้รับสัมปทานในการสำรวจเป็นจำนวนมากแต่จุดสำคัญอีกประการก็คือ ผลประโยชน์ที่รัฐควรจะได้รับอย่างคุ้มค่าอาจจะได้น้อยลงอย่างมากและอยู่บน อำนาจตัดสินใจของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงเพียงบางส่วนเท่านั้น และการต่อสู้เพื่อทวงคืนสิทธิบนพื้นที่บนบก-ทางทะเล แม้ว่าไทยจะได้รับชนะในอนาคตผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคตก็อาจไม่ คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปอย่างแน่นอน
บิ๊กต่างชาติ ล๊อบบี้ฮุนเซน ง่ายกว่า
ดังนั้นความคืบหน้าจากฝั่งของประเทศกัมพูชาที่มีการสำรวจแหล่งพลังงานในอ่าวไทย ได้เริ่มต้นทำมาตั้งแต่ช่วง พ.ศ.2540 เป็นต้นมา โดยอาศัยความร่วมมือกับบริษัทต่างชาติ เพื่อนำไปสู่ก้าวต่อไปในการขุดเจาะแหล่งพลังงาน คำถามก็คือ เหตุใดบริษัทธุรกิจพลังงานของประเทศมหาอำนาจจึงมีความสนใจในซึ่งต้องยอมรับ ว่า ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศกัมพูชาทั้งทางบก-ทะเลนั้นมีจำนวนมหาศาล ประกอบกับสงครามภายในประเทศที่สงบไปไม่นานนักทำให้กัมพูชาต้องการเงินลงทุน จากต่างประเทศอย่างมาก ซึ่งเอื้อต่อการเข้าไปลงทุนได้ง่ายขึ้น
จุดสำคัญที่ถือว่าเป็นแม่เหล็กอีกประการหนึ่ง ก็คือ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่ามีอำนาจสูงสุด สามารถมีอำนาจตัดสินใจในการดำเนินนโยบายและให้สิทธิสัมปทานให้กับบริษัทต่าง ประเทศ รวมถึงพื้นฐานด้านต่างๆ ทั้งการศึกษา และความเข้มแข็งในการตรวจสอบจากสื่อมวลชนหรือ ภาคประชาสังคม นั้นไม่เข้มข้นและแข็งแกร่งเท่ากับประเทศไทย
“การลงทุนในไทยนั้นค่อนข้างยากหากจะเทียบกับการลงทุนในกัมพูชาและมีการเฝ้าระวัง จากสื่อมวลชน ฝ่ายค้าน กลุ่มธุรกิจ รวมถึงภาคประชาชนที่เข้มแข็งกว่า ทำให้นักลงทุนหรือนักการเมืองเลือกที่จะแฝงตัวและเข้าไปขอสัมปทานในกัมพูชา มากกว่า เนื่องจากเพียงเข้าติดต่อกับสมเด็จฮุนเซนก็เพียงพอแล้ว”
จึงแทบจะเรียกได้ว่าหากซื้อใจหรือมีผลประโยชน์ที่มากเพียงพอต่อสมเด็จฮุนเซน โครงการต่างๆก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง ยูโนแคล เชฟรอน เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ยักษ์ใหญ่ที่ได้เข้าไปขอสัมปทานกับกัมพูชาเป็นจำนวนมาก
‘นักการ เมือง-ขรก.’
เซล์แมนประเทศไทย
เมื่อย้อนกลับมามองในฝั่งไทยอีกครั้ง การสำรวจและรับทราบถึงแหล่งพลังงานในอ่าวไทย เชื่อว่าในอดีตอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของความรู้และความเชี่ยวชาญในการพัฒนา และขุดสำรวจแต่หลังจากที่ไทยจัดตั้ง บริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. (ภายหลังแปรรูปเป็น บริษัท ปตท.จำกัด มหาชน ) เชื่อว่าองค์ความรู้ด้านพลังงานมีมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขพระราชบัญญัติ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้บริษัทเอกชนควรที่จะมีความรัดกุมและสร้างประโยชน์กับประเทศมากที่สุด
แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เมื่อพบว่าพื้นที่ในหลายแปลงมีการให้สัมปทานไปด้วยกันหลายแปลง และมีการโอนสัมปทานต่อให้กับผู้ประกอบการรายอื่น รวมถึงจากเดิมที่การให้สิทธิสัมปทานจะผ่านการพิจารณาโดยการลงมติของคณะ รัฐมนตรี (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ปี 2514) แต่ในปัจจุบันให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเท่านั้น ซึ่งแต่เดิมที่ถือว่าน้อยแล้ว เมื่อแก้ปัญหากับยิ่งน้อยลงและทำให้สามารถให้สัมปทานได้ง่ายขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจพลังงานในประเทศสหรัฐอเมริกา การอนุมัติให้สิทธิสัมปทานในการขุดเจาะและสำรวจพลังงานจะต้องผ่านการลงมติ จากสภาครองเกรสหรือในประเทศเม็กซิโกจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์ก่อนที่จะ อนุมัติให้สิทธิสัมปทานแก่เอกชนหรือการโอนสัมปทานให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
“วันนี้จึงมองว่า นักการเมืองและข้าราชการทำตัวคล้ายกับนายหน้าที่ขายทรัพยากรของชาติให้กับ ชาวต่างชาติ โดยมีการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียมให้มีสิทธิทำธุรกิจได้มากขึ้นโดยไม่จำกัด จำนวนมากและปริมาณของพื้นที่ในการถือครอง โดยให้ผลตอบแทนต่อรัฐลดลง รวมถึงข้อสงสัยในแวดงวงพลังงานถึงการประมูลที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุน ในหลักหมื่นล้านที่แพ้การประมูลสัมปทานจากการเขียนแผนธุรกิจให้กับบริษัทที่ มีเงินทุนในหลัก100 ล้านซึ่งว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้เลย หรืออาจมองได้ว่ามีผู้อิทธิพลบางส่วนยอมให้สิทธิ์ในอ่าวไทยหรือแบ่งกันเล่น คนละพื้นที่มากกว่า “
ดังนั้นจึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า การให้สัมปทานในอ่าวไทยซึ่งในพื้นที่ของไทย มีการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนไปหมดทุกแปลงแล้ว โดยมีทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่แต่ที่น่าจับตาอย่างที่สุดก็คือ บริษัท เพิร์ล ออย ที่มีทุนจดทะเบียนในหลัก 100 ล้าน บาทเท่านั้นแต่กลับชนะการประมูลขอสัมปทานต่อบริษัทใหญ่ได้เป็นจำนวนมาก
รวมถึงหลักเกณฑ์ในการประมูลสัมปทานของธุรกิจขพลังงาน ที่นอกเหนือจากการให้ราคาที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐมากที่สุดแล้ว แผนทางธุรกิจและการพัฒนาเครือข่ายในการขุดเจาะและนำทรัพยากรไปใช้ประโยชน์ใน แง่ต่างๆก็ถือเป็นเกณฑ์สำคัญในการให้สิทธิสัมปทานด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบเม็ดเงินกับบริษัทเล็กๆอย่างเพิร์ลออย และบริษัทใหญ่ของไทยอย่างปตท.สผ.ก็มีความเป็นไปได้ว่าแผนงานของปตท.สผ.ควรจะ มีศักยภาพที่ดีกว่าโดยไม่นับรวมถึงบริษัทธุรกิจพลังงานของต่างประเทศที่มี เม็ดเงินเป็นจำนวนมากอย่าง เชฟรอนหรือยูโนแคลที่ไม่ได้สิทธิในพื้นที่ดังกล่าวด้วย จึงชวนให้คิดว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองเป็นผู้มีสิทธิในการให้สัมปทานมากพอที่จะกดดันบริษัท เหล่านี้หรือไม่
นอกจากนี้ข้อเท็จริงที่พบจาก ข้อมูลการให้สัมปทานขุดเจาะพลังงานพบว่าในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตก (ทะเลอันดามัน)ของไทยมีบริษัทปตท.สผ.ได้รับสิทธิเพียงเจ้าเดียว ขณะที่พื้นที่ของอ่าวไทยนั้นมีความหลากหลายของการลงทุนมากว่า ขณะที่บริษัทเล็กๆอย่างเพิร์ลออยก็ได้สิทธิทั้งบนบก-ทะเลอ่าวไทยเป็นจำนวน มาก รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงกับบริเวณพื้นที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชาด้วย
ทั้งนี้ ยังรวมถึงการแก้ไขการลดหย่อนค่าภาคหลวงจากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ที่ 30 % เป็น 90 % ในกรณีที่เอกชนเข้าขุดเจาะและสำรวจแล้วไม่พบแหล่งพลังงานหรือพบน้อยจนทำให้ ไม่คุ้มค่าการลงทุนก็จะเสียค่าภาคหลวงให้กับรัฐเป็นสัดส่วนที่ลดลงเป็นอย่าง มาก ซึ่งล้วนแล้วแต่สวนทางกับการให้ความผลสำรวจและความสนใจของบริษัทยักษ์ใหญ่ใน แหล่งพลังงานอ่าวไทย
“สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือมัน มากกว่าการขายชาติ เพราะเป็นการขายอนาคต เป็นการขายขุมทรัพย์ของไทย ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากไทยได้ประโยชน์จากการให้สัมปทานอย่างคุ้มค่าแล้ว การทำรัฐสวัสดิการย่อมเป็นไปได้แต่การให้สิทธิเช่นนี้ ทำให้ประโยชน์ที่ควรได้ลดลงอย่างมาก” แหล่งข่าวในแวดวงพลังงาน ทิ้งท้าย
3 ปม แก้ปัญหา อ่าวไทย
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาต่อจากนี้จำเป็นต้องมองใน3แนวทาง ดังนี้
1. กรณีพิพาทในเรื่องเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเน้นในจุดของพื้นที่เขาพระวิหาร เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับจากเอ็มโอยู 43 โดยกัมพูชาแนบแผนที่ 1ต่อ 200,000 ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบกับพูชาทั้งในทางบกและทางทะเล ซึ่งจากกัมพูชาใด้ใช้แผนที่ดังกล้าวในการลากเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในอ่าวไทย และกินเนื้อที่ของอ่าวไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะมีแหล่งพลังงานมหาศาลอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเดินหน้าเพื่อยกเลิกเอ็มโอยู 43 ก่อน
2. กรณีการจำเป็นต้องยกเลิกเอ็มโอยู ปี 44 ที่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำลงนามข้อตกลงในการพัฒนาทรัพยากรทางทะเลร่วมกับกัมพูชา เท่ากับว่าไทยยอมรับว่าพื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย-กัมพูชาที่ต้องแสวง ประโยชน์ร่วมกันแม้ว่าจะเห็นได้ชัดจากกรณีของเกาะกูด จ.ตราด จะถูกแบ่งให้กับกัมพูชาเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ให้การให้สิทธิสัมปทานแก่ บริษัทพลังงานได้ จึงจำเป็นต้องยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าวเช่นกัน
3. พ.ร.บ.ปิโตรเลียมแห่งชาติ ที่ยังถือว่าเป็นปัญหาในหลายส่วนจำเป็นต้องนำมาปรับแก้เนื่องจากรัฐได้ประ โยชน์จากพ.ร.บ.ปิโตรเลียมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และหากรัฐบาลไทยต่อสู้ในเรื่องพื้นที่พิพาททั้งทางบก-ทะเลจนได้รับชัยชนะก็ อาจได้ประโยชน์จากทรัพยากรของชาติที่เสียไปน้อยเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น
แหล่งข่าวด้านพลังงาน ย้ำด้วยว่า แม้ภาคประชาชน หรือรัฐบาลจะพยายามต่อสู้จนสามารถชนะและได้สิทธิ์ในอธิปไตยเหนือพื้นที่ พิพาททางบกในกรณีเขาพระวิหารแล้ว แต่จุดที่น่ากังวลคือความเชื่อมโยงไปยังพื้นที่ทางทะเลก็ยังคงมีปัญหาให้ กลับมาแก้ไขด้วยเช่นกันเนื่องจากสัมปทานที่ให้ไปนั้นพร้อมที่จะเดินหน้าโดย บริษัทต่างๆโดยที่ประเทศไทยอาจจะได้รับผลตอบแทนจากการเปิดให้ต่างชาติเข้ามา แสวงหาทรัพยกรสำคัญนี้โดยที่รัฐบาลอาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น…
***********
แฉ’นักการเมือง-บิ๊ก ทหาร’บีบมาร์คยอมเขมร
ชี้’ไทย-กัมพูชา’ปะทะแน่ แต่ไม่ถึงขั้นสงคราม
“นักวิชาการ-ความมั่นคง” ยันปมความขัดแย้งพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.จะนำไปสู่การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาแน่
ที่มา : www.lifevarity.com

1 ความคิดเห็น:

  1. เสนอเงินให้กู้ยืม

    คุณจำเป็นต้องกู้เงินที่จะเริ่มขึ้นธุรกิจหรือไม่ ฉันกำลังกรรมการผู้จัดการของ บริษัท เดอร์สันเรามีทุกชนิดของเงินให้กู้ยืมเงินให้กู้ยืมของ บริษัท สินเชื่อส่วนบุคคลเงินกู้นักเรียนและสินเชื่อธุรกิจถ้าคุณมีความสนใจเงินกู้นี้คุณต้องส่งอีเมลถึงเราผ่านทางอีเมล :: :(georgeanderson.loanfirm255@gmail.com)

    ตอบลบ