ทวงคืน ปตท.

ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ข้อมูลเก่าก่อนแปรรูป ปตท. เรื่องปริมาณน้ำมันและก๊าซ


แปลงน้ำมันและก๊าซ ของ เชฟรอน Chevron
แผนที่สัมปทานแหล่งพลังงาน ไทย 

ปิโตรเลียม

1. การผลิต 
ในปีงบประมาณ 2542 ประเทศไทยสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย วันละ 1,822 ล้านลูกบาศก์ฟุต ก๊าซธรรมชาติเหลว วันละ 46,905 บาเรล และน้ำมันดิบ วันละ 30,786 บาเรล ซึ่งเป็นการผลิตมาจากแหล่งสัมปทาน รวม 28 สัมปทาน 36 แปลงสำรวจ เป็นสัมปทานบนบก 8 สัมปทาน 9 แปลงสำรวจ ในทะเลอ่าวไทย 18 สัมปทาน 25 แปลงสำรวจ และในทะเลอันดามัน 2 สัมปทาน 2 แปลงสำรวจ โดยมีแผนการผลิตปิโตรเลียม 4 ปี ( 2542-2545) ดังนี้
2. การเจาะสำรวจ 
ในปีงบประมาณ 2542 ( ตุลาคม 2541 - กันยายน 2542) ได้ดำเนินการเจาะสำรวจปิโตรเลียมรวมทั้งสิ้น 221 หลุม เป็นการเจาะสำรวจบนบก รวม 22 หลุม ในอ่าวไทยรวม 199 หลุม ดังนี้
- หลุมสำรวจ จำนวน 30 หลุม พบก๊าซ จำนวน 20 หลุม พบน้ำมัน จำนวน 4 หลุม พบ ก๊าซและก๊าซธรรมชาติเหลว จำนวน 1 หลุม พบก๊าซธรรมชาติเหลวและน้ำมัน
จำนวน 2 หลุม พบน้ำมันและก๊าซ จำนวน 2 หลุม
- หลุมพัฒนา จำนวน 117 หลุม พบก๊าซ จำนวน 128 หลุม พบน้ำมัน จำนวน 19 หลุมและพบก๊าซและน้ำมัน จำนวน 26 หลุม
- หลุมประเมินผล จำนวน 1 หลุม พบก๊าซ จำนวน 1 หลุม
3. ปริมาณสำรอง 
ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว ( Proved Reserve) ปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว ( Proved Reserve)
- ก๊าซธรรมชาติ 14.83 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
- ก๊าซธรรมชาติเหลว 242.45 ล้านบาเรล
- น้ำมันดิบ 145.93 ล้านบาเรล
ปริมาณปิโตรเลียมที่ผลิตแล้ว
- ก๊าซธรรมชาติ 4.950 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
- ก๊าซธรรมชาติเหลว 152.357 ล้านบาเรล
- น้ำมันดิบ 130.980 ล้านบาเรล
4. ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม 
กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการเก็บค่าภาคหลวงปิโตรเลียม เป็นจำนวนเงิน 7,380 ล้านบาท ได้จัดสรรรายได้ค่าภาคหลวงปิโตรเลียมให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) เป็นจำนวนเงิน 182.07 ล้านบาท องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นจำนวนเงิน 205.18 ล้านบาท และส่งเข้ารายได้แผ่นดินเป็นจำนวนเงิน 6,992.75 ล้านบาท ( Proved Reserve)


5. การเปิดโอกาสในการเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมของประเทศ 
5.1) ได้ออกสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2542/57 ให้แก่บริษัท Santa Fe Energy Resources (Thailand) Ltd. เพื่อสิทธิสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมในแปลงสำรวจในอ่าวไทย หมายเลข B 7/38 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2542 ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งจังหวัดชุมพร มีพื้นที่ 9,238 ตารางกิโลเมตร โดย 3 ปีแรก จะสำรวจด้วยวิธีวัดความไหวสะเทือนและเจาะหลุมสำรวจ 1 หลุม เงินทุนขั้นต่ำประมาณ 335 ล้านบาทและใน 3 ปีต่อไป จะประมาณผลข้อมูลความไหวสะเทือน ศึกษาด้านธรณีวิทยาและเจาะสำรวจ 1 หลุม เงินทุนขั้นต่ำประมาณ 167 ล้านบาท
5.2) จัดทำสรุปเรื่องการขอพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม เสนอคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างสัมปทานปิโตรเลียมและปัญหากฎหมาย คณะกรรมการปิโตรเลียม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาอนุมัติรวม 3 พื้นที่ คือ
- พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมตราด ของบริษัท ยูโนแคล ไทยแลนด์ จำกัด และคณะในแปลง สำรวจในอ่าวไทย หมายเลข 11 พื้นที่ 13 เป็นพื้นที่ 65.2198 ตารางกิโลเมตรและวางท่อขนส่งนอกเขตสัมปทาน
- พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมหนองมะขาม ของบริษัท ไทยเชลล์ เอ็กซพลอเรชั่น แอนด์โปร-ดักชั่น จำกัด ในแปลงสำรวจบนบกหมายเลข S1 เป็นพื้นที่ 15.492 ตารางกิโลเมตร
- พื้นที่ผลิตปิโตรเลียมฟูนาน เจ ของบริษัท ยูโนแคล ไทยแลนด์ จำกัด และคณะ ในแปลงสำรวจในอ่าวไทย หมายเลข 13 พื้นที่ 12 เป็นพื้นที่ 11.390 ตารางกิโลเมตร
6. การจัดหาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ 
6.1) งานด้านการประสานงานและกำกับดูแลการดำเนินการขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย เพื่อเร่งรัดการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เป็นบริเวณที่ไทยและมาเลเซียอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ครอบคลุมพื้นทีประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่อยู่ห่างจากจังหวัดปัตตานี 180 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดสงขลา 260 กิโลเมตร และห่างจากเมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย 150 กิโลเมตร มีการดำเนินงานสำรวจพบแหล่งก๊าซธรรมชาติถึง 15 แหล่ง ในพื้นที่พัฒนาร่วม มีปริมาณสำรองก๊าซสูงถึงกว่า 9.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 800,000 ล้านบาท ประกอบด้วยแปลงสำรวจจำนวน 3 แปลง คือ แปลง B-17, แปลง A-18 และ แปลง C-19 โดยบริษัทผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิเข้าทำสัญญากับองค์กรร่วม คือ บริษัทผู้ได้รับสัมปทานหรือได้รับสิทธิจากรัฐบาลแต่ละฝ่าย โดยผู้ประกอบการในแต่ละแปลงต่างถือสิทธิ์ฝ่ายละ 50% ดังนี้
- บริษัท Triton oil จากประเทศไทย ( 50%) กับบริษัท Petronas Carigali จากประเทศมาเลเซีย ( 50%) ในแปลงสำรวจ A-18 พื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางกิโลเมตร ได้เจาะหลุมสำรวจและหลุมประเมินผลรวม 16 หลุม พบแหล่งก๊าซธรรมชาติ 8 แหล่ง คาดว่ามีปริมาณสำรองก๊าซรวมกันไม่ต่ำกว่า 6.8 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากประเทศไทย( 50%) กับ บริษัท Petronas Carigali จากประเทศมาเลเซีย ( 50%) ในแปลงสำรวจ B-17 และ C-19 พื้นที่ประมาณ 4,250 ตารางกิโลเมตร ได้เจาะหลุมสำรวจและประเมินผลรวม 13 หลุม พบแหล่งก๊าซธรรมชาติ 7 แหล่ง คาดว่ามีปริมาณสำรวจก๊าซรวมกันไม่ต่ำกว่า 2.7 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
6.1.1) การดำเนินการเพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติจากแปลง A-18 ในพื้นที่พัฒนาร่วม - การขยายระยะเวลาสำรวจปิโตรเลียม ในพื้นที่ส่วนที่ยังไม่ได้ทำการสำรวจ ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ออกไปอีก 3 ปี โดยเห็นชอบให้องค์กรร่วมฯ ออกสัญญาแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) ให้แก่บริษัทผู้ประกอบการ ผู้ได้รับสัญญาทั้งสองกลุ่ม
- การเปลี่ยนแปลงอัตราการหักค่าใช้จ่าย ( Cost Recovery Rate) ในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม เพื่อช่วยสนับสนุนโครงการ พัฒนาแหล่งก๊าซ Cakevawala ในแปลง A-18
- การงดเว้นกิจกรรมการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียม ในพื้นที่ทับซ้อน 3 ฝ่าย ไทย-มาเลเซีย-เวียดนาม ที่เวียดนามอ้างสิทธิทับซ้อน เข้ามาในพื้นที่พัฒนาร่วมฯ
6.1.2) การพิจารณาแผนการดำเนินงาน และงบประมาณขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย และผู้ประกอบการ ผู้ได้รับสัญญาในแปลงสำรวจหมายเลข A-18 และแปลง B-17 และ C-19
6.1.3) การประสานงานและอำนวยความสะดวกให้แก่บริษัทผู้ประกอบการที่เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างแท่นผลิตก๊าซ และถังเก็บน้ำมันขององค์กรร่วมฯ เพื่อส่งเสริมให้มีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
6.1.4) ประสานงานกับกรมสรรพากร กรมศุลกากร และองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านภาษี/อากร
- การแก้ไขปัญหาภาระภาษีมูลค่าเพิ่มให้บริษัทผู้ประกอบการขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
- การหาข้อยุติเกี่ยวกับการบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ระหว่าง 2 ประเทศ ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ในส่วนที่เกี่ยวกับองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
- การหักภาษี ณ ที่จ่ายของบริษัทผู้ประกอบการองค์กรร่วมฯ
- บัญชีสินค้านำเข้าที่ได้รับการยกเว้นอากร
- การจัดส่งเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
6.2) งานด้านพื้นที่ไหล่ทวีปคาบเกี่ยวกับประเทศอื่น 6.2.1) พื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย-เวียดนาม (ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย) กรมทรัพยากรธรณีได้ประสานงาน กับกระทรวงต่างประเทศและองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย เพื่อหาข้อยุติในเรื่องการแก้ไขปัญหาการจัดทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ ที่เวียดนามอ้างสิทธิทับซ้อนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 870 ตารางกิโลเมตร และได้มีการประชุมเจรจา 3 ฝ่าย ครั้งที่ 2 ไปแล้ว สามารถตกลงกันได้ว่า ทั้ง 3 ฝ่ายเห็นชอบในหลักการทำการพัฒนาร่วมฯ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งคณะทำงาน ( Informal Working Group) 3 ฝ่ายขึ้น โดยมีผู้แทนกรมทรัพยากรธรณีเป็นหัวหน้าคณะ เพื่อศึกษารูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมของการพัฒนาร่วมฯ ในพื้นที่ทับซ้อน
6.2.2) พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา กรมทรัพยากรธรณีร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ทำการศึกษาจัด เตรียมข้อมูลทางเทคนิคและทางกฎหมาย ของการอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของไทยและกัมพูชา เพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาสัมปทานปิโตรเลียม ในเขตไหล่ทวีปทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ต่อไป


9 โครงการ-สินทรัพย์สำคัญของ ปตท.สผ. 
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2537)


แหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาตินั้นคือ สินทรัพย์ที่สำคัญของธุรกิจสำรวจและผลิตอย่าง ปตท.สผ. ความเติบโตของบริษัทขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของสินทรัพย์ตัวนี้ในปัจจุบัน แหล่งผลิตที่มีการขุดเจาะนำน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ และที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของ ปตท.สผ. มีอยู่ด้วยกัน 9 โครงการคือ
โครงการเอส 1
นับเป็นโครงการแรกของ ปตท.สผ. โดยร่วมทุนกับไทยเชลล์เอ็กซพลอเรชั่นแอนด์โปรดักชั่น เมื่อปลายปี 2528 ในสัดส่วน 25% บริเวณพื้นที่ 5 จังหวัดภาคกลางตอนบน ซึ่งมีแหล่งสำคัญคือลานกระบือ ในการร่วมทุนนั้น ปตท.สผ. ไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายที่ไทยเชลล์ได้จ่ายไปก่อนหน้าแล้ว
ปัจจุบันมีการผลิตน้ำมันดิบอัตราเฉลี่ยวันละ 22,070 บาร์เรล ก๊าซธรรมชาติอัตราเฉลี่ย 51 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจาะสำรวจเพิ่มเติมเพื่อหาแหล่งปิโตรเลียมต่อไป
โครงการอี 5
ปตท.สผ. เป็นตัวแทนรัฐบาลในการร่วมลงทุน 20% กับบริษัทเอสโซ่เอ็กซพลอเรชั่นแอนด์โปรดักชั่น โครราชอิงค์ บริเวณพื้นที่ อ. น้ำพอง จ. ขอนแก่น เมื่อปี 2533 ปัจจุบันระดับการผลิตประมาณ 60-65 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน คาดว่าในปี 2538 จะมีการเจาะหลุมผลิตเพิ่มเติม เพื่อรักษาระดับการผลิตเดิม
โครงการยูโนแคล 3
อยู่บริเวณอ่าวไทยนอกชายฝั่งทะเล จ. สุราษฎร์ธานี ปตท.สผ. ต้องจ่ายเงินค่าได้สิทธิสัมปทาน 5% ให้กับยูโนแคลไทยแลนด์และมิตซุยออยล์เอ็กซพลอเรชั่นเบื้องต้นประมาณ 384 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นการร่วมทุนจากการเจรจาปกติทางการค้า มิใช่ตามสิทธิพิเศษเหมือนกับ 2 โครงการแรก
ปัจจุบันเจาะหลุมผลิตเพิ่มอีก 22 หลุมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอัตราเฉลี่ย 195 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และคอนเดนเสท 9,000 บาร์เรล/วัน
โครงการบงกช
ปตท.สผ. ร่วมทุนกับบริษัทโทเทลเอ็กซพลอเรชั่นแอนด์โปรดักชั่น บริษัทบีจีไทยแลนด์ บริษัทสแต็ทออยล์ (ประเทศไทย) บริษัทร่วมทุนทั้ง 3 รายนี้ต้องจ่ายเงินในการเข้าถือสิทธิสัมปทานในสัดส่วน 60% แก่ ปตท.สผ. เป็นเงิน 1,554 ล้านบาท ในระยะแรกโทเทลจะเป็นผู้ดำเนินการเอง หลังจากนั้น ปตท.สผ. จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการต่อในปี 2541
สัมปทานแหล่งนี้เคยเป็นของบริษัทเท็กซัสแปซิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด รัฐบาลไทยได้ให้ ปตท.สผ. ขอซื้อกลับมาเมื่อ 12 กรกฎาคม 2531
แหล่งนี้เริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทเมื่อกลางปีที่แล้วนี้เอง ทาง ปตท.สผ. มีแผนจะเพิ่มระดับการผลิตที่ 350 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ในต้นปี 2539 ภายหลังจากที่ได้ลงทุนในส่วนขยายของโครงการแล้ว เนื่องจากพบว่าที่แหล่งนี้มีอัตราไหลของก๊าซธรรมชาติสูงกว่าที่คาดไว้ และมีค่า HEATING VALUE สูงกว่าที่ประมาณไว้
โครงการพีทีทีอีพี 1
เป็นโครงการแรกที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการเอง (OPERATOR) โดยเริ่มดำเนินการเมื่อกลางปีที่ผ่านมาเช่นกัน
แปลงนี้ ปตท.สผ. ซื้อกิจการมาจากบีพีเอ็กซพลอเรชั่นโอเปอเรติ้ง (ประเทศไทย) ซึ่งค้นพบน้ำมันดิบที่ จ. สุพรรณบุรีและนครปฐม น้ำมันดิบที่ผลิตได้มีจำนวนไม่มากนัก เฉลี่ยไม่เกิน 1,000 บาร์เรล/วัน
โครงการบี 12/27
อยู่ห่างจากชายฝั่ง จ. นครศรีธรรมราช 200 กม. ปตท.สผ. ซื้อสิทธิสัมปทานจากบีพี (45%) เมื่อกลางปีที่แล้วอีกเช่นกัน และได้ให้ยูโนแคลเป็นผู้ดำเนินการ เท่าที่ผ่านมาสำรวจไปแล้ว 11 หลุม พบน้ำมันดิบ 2 หลุม ก๊าซธรรมชาติ 7 หลุม
โครงการบี 5/27
เป็นแหล่งน้ำมันดิบขนาดเล็กบริเวณอ่าวไทย จ. ประจวบคีรีขันธ์ ที่ ปตท.สผ. ถือหุ้นครึ่งหนึ่งร่วมกับบีจีไทยแลนด์ (บริติชก๊าซ) เมื่อปลายปี 2533 ในระยะต้นได้มอบหมายให้บริติชก๊าซเป็นผู้ดำเนินการ จากนั้น ปตท.สผ. จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการเองในภายหลังเมื่อมีการผลิตแล้ว
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา หุ้นส่วนทั้งสองได้รับข้อมูลธรณีวิทยา และธรณีฟิสิกส์ ตลอดจนวิศวกรรมปิโตรเลียมเพิ่มเติม และอยู่ระหว่างการขยายเวลาขั้นตอนการสำรวจเพื่อวางแผนต่อไป
โครงการลำปาง-แพร่
เป็นพื้นที่ของกรมการพลังงานทหาร ซึ่ง ปตท.สผ. ได้เข้าสำรวจเมื่อปี 2536 โดยลงทุนเองทั้งหมด หากค้นพบปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์และกำหนดพื้นที่ผลิตแล้ว กระทรวงกลาโหมทีสิทธิจะร่วมทุน 20%
โครงการ JDA
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซีย ที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจก่อตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงผลประโยชน์ในพื้นที่ JDA นี้ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 และเมื่อปี 2534 รัฐบาลทั้งสองได้จัดตั้งคณะกรรมการองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) ซึ่งมี ม.ร.ว. เกษมสโมสร เกษมศรี เป็นประธาน และจารุอุดม เรืองสุวรรณ อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร สำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
พื้นที่ JDA มีศักยภาพทางปิโตรเลียมค่อนข้างสูง บริษัทเท็กซัสแปซิฟิคเจ้าของสัมปทานเก่าเคยขุดหลุมสำรวจในแปลง บี-17 1 หลุมและพบก๊าซธรรมชาติแล้ว นอกจากนี้พื้นที่ทางเหนือยังเชื่อมติดกับแหล่งบงกช ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอ่าวไทย
บริษัทร่วมทุนของบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนลและบริษัทปิโตรนาสคาริกาลี ซึ่งถือหุ้นฝ่ายละ 50% จะเป็นผู้ดำเนินการในแปลงสัมปทาน A-18 ขนาดพื้นที่ 3,000 ตร. กม. บริษัทไตรตันออยล์แห่งประเทศไทยกับบริษัทปิโตรนาสคาริกาลี (ถือหุ้นบริษัทละ 50%) เป็นผู้มีสิทธิสัมปทาน
ผลตอบแทนจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะออกมาในรูปสัญญาแบ่งผลผลิต (PRODUCTION SHARING CONTRACT) ซึ่งบริษัททั้งสองฝ่ายลงนามกับ MTJA เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครั้งที่นายกฯ ชวนเดินทางไปเยือนมาเลเซีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น