ทวงคืน ปตท.
ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..
วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ปลดล็อค"น้ำมันแพง"รสนา โตสิตระกูล
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...กิจจา อภิชนเรข
http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/สัมภาษณ์พิเศษ/300361/ปลดล็อค-น้ำมันแพง-รสนา-โตสิตระกูล
ทำไมคนไทยใช้น้ำมันแพงไม่แพ้ชาติใดในโลก? ทั้งที่ประเทศไทยสามารถผลิตน้ำมันได้มากเป็นอันดับ 32 ของโลก แถมยังส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน
วันนี้ รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานครและในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน เสนอแนวทางปฏิรูปวิกฤตการณ์น้ำมันแพงที่กำลังเป็นประเด็นฮอตที่สุดในขณะนี้
รสนายอมรับว่าหลายปีมานี้ คนไทยตื่นตัวเรื่อง"น้ำมันแพง"เป็นอย่างมาก
“ไอ้ความแพงที่มันประสบกับเงินในกระเป๋าเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้ แต่ถามว่ามาจากสาเหตุอะไร ข้อมูลมันซับซ้อน เป็นเรื่องตัวเลขเรื่องอะไรต่อมิอะไร ยิ่งระยะหลังสงครามข้อมูลมันเกิดขึ้นเยอะ ทีนี้ข้อมูลสายวุฒิสภาเราไม่ได้มีพื้นที่ในสื่อมากพอที่จะไปลงให้คนเกิดความเข้าใจ สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็จะลงข้อมูลจากทางกระทรวงพลังงาน หรือบริษัทน้ำมันเขาให้มามากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นประชาชนก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกว่าราคาน้ำมันมันแพง หลายคนจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาศึกษาหาข้อมูลเพื่อหาคำตอบ ภายใต้ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม”
คำถามคลาสสิก ... ทำไมคนไทยถึงใช้น้ำมันแพงกว่าชาติอื่น
รสนาอธิบายว่าปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงที่ต้องพิจารณามีอยู่ 3 ประการ ได้แก่
เนื้อน้ำมัน ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยอิงราคาสิงคโปร์ เนื่องจากโดยบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อ้างว่าสิงคโปร์เป็นตลาดกลางการส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
"ความจริง เราไม่ได้แค่อิงราคาสิงคโปร์เท่านั้น แต่เราใช้ราคานำเข้าจากสิงคโปร์มาเป็นราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปให้กับคนไทยเลยด้วยซ้ำ นั่นคือมีการบวกค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือค่าพรีเมียมเพิ่มเข้าไปด้วย ทั้งค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทย ค่าสูญเสียระหว่างทาง ค่าประกันภัย พอมากลั่นในเมืองไทย ก็มาบวกค่าใช้จ่ายเทียมเหล่านี้เข้ามาในราคาน้ำมันสำเร็จรูปอีกรอบหนึ่ง ค่าโสหุ้ยเทียมเหล่านี้มีราคาบวกลบประมาณ 1 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังมีการบวกค่าปรับปรุงคุณภาพอีกส่วนหนึ่ง โดยอ้างว่าราคาน้ำมันของสิงคโปร์ที่เราอิงราคาของเขาเป็นน้ำมันเกรดยูโร 2 แต่น้ำมันของไทยเป็นเกรดยูโร 4 จึงต้องบวกเพิ่มการปรับปรุงคุณภาพอีกลิตรละประมาณ 1 บาท ทั้งที่ก็เป็นสเปคของโรงกลั่นอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันขายปลีกที่ตลาดสิงคโปร์ราคา 24บาทต่อลิตร ถ้าสมมติค่าใช้จ่ายเทียมที่เป็นค่าขนส่งและค่าประกันภัยเป็นเงินลิตรละ1บาท โรงกลั่นจะขายคนไทยที่ราคา 24+1= 25บาทต่อลิตร แต่เวลาส่งออกโรงกลั่นจะได้รับเงินจากการขายส่งเพียงลิตรละ 24-1= 23 บาทเพราะต้องหักค่าขนส่ง ค่าประกันภัยออก1 บาท ดังนั้นถ้าขายให้คนไทยในราคาเท่ากับการส่งออก คนไทยจะได้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นในราคาลิตรละ 23บาท แทนที่จะเป็นราคาลิตรละ 25บาท"
ที่มาที่ไปของค่าใช้จ่ายเทียมเหล่านี้มาจากการที่รัฐบาลในอดีตเสนอให้โรงกลั่นเป็นแรงจูงใจให้ต่างชาติมาตั้งโรงกลั่นในไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป แต่ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันผลิตเหลือใช้จนสามารถส่งออกได้ ดังนั้นจึงควรยกเลิกแรงจูงใจหรือค่าใช้จ่ายเทียมนั้นไปเสียที
ขณะเดียวกัน ต่อคำกล่าวที่ว่าราคาน้ำมันแพงเพราะต้องยึดกลไกตลาด รสนายืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทน้ำมันถือหุ้นใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมัน 5 โรงจากทั้งหมด 6 โรง ซึ่งมีกำลังการกลั่นถึง 85% ของที่กลั่นได้ในประเทศ ดังนั้นจึงสามารถตั้งกรรมการของตัวเองเข้าไปควบคุมนโยบายโรงกลั่นได้ทั้ง 5 โรงกลั่น ส่งผลทำให้โรงกลั่นไม่เกิดการแข่งขันกันตามกลไกตลาดเสรี เท่ากับเป็นการผูกขาดการกำหนดราคาน้ำมันโดยปริยาย
"ต้องยกเลิกโครงสร้างราคาน้ำมันที่อิงราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ โดยยกเลิกเก็บค่าพรีเมียมซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มีอยู่จริง และขอให้กำหนดราคาขายตามราคาที่ส่งออกจากไทย ภายใต้กลไกลตลาดโลก"
กองทุนน้ำมัน ตัวการสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันแพงจนเกิดเหตุ ซึ่งปัจจุบันกองทุนน้ำมันเก็บเงินจากคนใช้น้ำมัน 4 ชนิด ประกอบด้วยน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 10 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 3.30 บาท แก๊สโซฮอลล์ลิตรละ 1.20 บาท และดีเซลลิตรละ 0.25บาทเพื่อนำไปชดชดเชยให้น้ำมัน 2 ชนิด คือ E 20 ลิตรละ 1.05 บาท E85 ลิตรละ 11.60 บาท และก๊าซแอลพีจี
"เวลาพูดถึงกองทุนน้ำมัน ก็ต้องพูดถึงก๊าซแอลพีจี ต้องอธิบายก่อนว่าก๊าซแอลพีจี ผลิตจากอ่าวไทย แล้วไปแยกที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งมาจากโรงกลั่น และสุดท้ายคือนำเข้า
ปัจจุบันมีอยู่ 4 กลุ่มที่ใช้ก๊าซแอลพีจี ประกอบด้วยภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง อุตสาหกรรมทั่วไป และธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพบว่าหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจปิโตรเคมีมีปริมาณการใช้แอลพีจีสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือก๊าซหุงต้มในครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งยานยนต์
ปัญหาก็คือมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อปี 2551 ระบุไว้ว่า "หลักการจัดสรรปริมาณก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้จัดสรรแก่ปริมาณความต้องการใน "ภาคครัวเรือนและปิโตรเคมี" เป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซแอลพีจีที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้น จะถูกนำไปจัดสรรให้กับ "ภาคขนส่งและอุตสาหกรรมอื่น"เป็นลำดับต่อไป หากปริมาณที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซแอลพีจีจากต่างประเทศ และนำกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนที่ขาด"
ประชาชนคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ ควรจะได้รับการจัดสรรเป็นอันดับแรก แต่นี่กลับจัดสรรให้ธุรกิจปิโตรเคมีเป็นอันดับแรก เมื่อก๊าซไม่พอ ครัวเรือนและภาคขนส่งจะถูกผลักไปใช้ก๊าซแอลพีจีที่มาจากโรงกลั่น หรือนำเข้า ซึ่งราคาแพงมาก"
เปรียบเหมือนหม้อข้าวหม้อหนึ่ง แต่เดิมจัดสรรให้ลูกบ้านได้ตักข้าวกินก่อน ทว่าต่อมามีการตั้งกฎใหม่ให้ลูกเลี้ยงตักก่อน ปรากฏว่าตักไปจนเกือบหมดหม้อ ในที่สุดลูกในบ้านก็ต้องไปซื้อข้าวนอกบ้านกินในราคาที่แพงกว่า"
ต่อประเด็นนี้ รสนาเสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐบาล (ครม.) สมัยที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2551 ที่มีการจัดสรรก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ในประเทศให้ภาคปิโตรเคมีใช้เป็นลำดับแรก โดยให้มีการจัดสรรใหม่ให้ก๊าซแอลพีจีที่ผลิตได้ภายในประเทศต้องจัดสรรให้ภาคครัวเรือนใช้ก่อน ด้วยราคาตามต้นทุนที่แท้จริงบวกกำไรที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อผู้ใช้และผู้ผลิต ไม่ใช่ขายตามราคาตลาดโลก เมื่อเหลือจำนวนเท่าไหร่จึงให้ภาคอื่นๆใช้ หากไม่พอใช้ให้ภาคอุตสาหกรรมทุกประเภทเป็นผู้รับภาระการนำเข้าเอง ท้ายที่สุดเมื่อกองทุนไม่มีความจำเป็นต้องเอามาชดเชย ราคาน้ำมันก็จะลดลงเอง
สุดท้าย ค่าการตลาด ถือเป็นตัวโยกราคาเมื่อราคาของเนื้อน้ำมันลดลง โดยไปเพิ่มที่การตลาด จึงควรพิจารณาค่าการตลาดที่เหมาะสมในราคาประมาณลิตรละ 1.50 บาท
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ ต้องโละทิ้งระบบสัมปทานน้ำมัน
"ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ยังใช้ระบบสัมปทานอยู่ ระบบนี้ล้าสมัยและเป็นผลพวงจากยุคล่าอาณานิคม ซึ่งปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนได้เปลี่ยนไปใช้ระบบการแบ่งปันผลผลิตกันหมดแล้ว
ส.ว.รสนาเปรียบเทียบการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมระหว่างไทยกับมาเลเซีย โดยอธิบายว่าที่ผ่านมามีการลงทุนที่ใกล้เคียงกัน แต่ปริมาณการผลิตปิโตรเลียม (คิดเป็นจำนวนบาร์เรลเท่าน้ำมันดิบ) ไทยได้ประมาณ 52 %ของปริมาณการผลิตในมาเลเซียเท่านั้น
"รายได้ของรัฐจากการผลิตปิโตรเลียม ปี 2554 รัฐบาลไทยมีรายได้จากส่วนนี้เพียง 153,596 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.3 % ของรายได้สุทธิของรัฐบาล ทำให้ต้องเก็บภาษีอื่น ๆ จากประชาชนเพิ่มอีก 91 %ของรายได้รัฐ แตกต่างจากระบบแบ่งปันผลผลิตของมาเลเซียที่มีรายได้ 657,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40 %ของรายได้รัฐบาลมาเลเซีย
รัฐบาลมาเลเซียจะนำเงินรายได้จากทรัพยากรปิโตรเลียมมาชดเชยค่าน้ำมันให้แก่ประชาชนและสร้างสาธารณูปโภคอื่นได้สบาย เพราะมีการเก็บภาษีประชาชนเพิ่มอีกเพียง 60% ของรายได้รัฐเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันหน้าปั๊มของมาเลเซียมีราคาถูกกว่าไทยถึง 2 เท่า โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลของมาเลเซียนั้นมีราคาเพียง 21 บาทและ 20 บาท ตามลำดับ
ตัวอย่างที่น่าสนใจ ตั้งแต่ปี 2520 มีข้าราชการที่เบตงเล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นราคาน้ำมันในประเทศไทยถูกกว่ามาเลเซียอีก ไทยลิตรละ 5 บาท มาเลเซีย 10 บาท คนมาเลย์มาเที่ยวเมืองไทยทีก็จะมาเติมน้ำมันให้เต็มถังแล้วเอาแกนลอน 2-3 ใบเติมกลับไปด้วย แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าปรากฏการณ์มันพลิกกลับ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่มาเลเซียยกเลิกระบบสัมปทานมาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต"
ข้อเสนอของรสนาคือ ให้ยุติการเปิดสัมปทานรอบ 21 จนกว่าจะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 พร้อมทั้งให้ยุติการต่ออายุสัมปทานในแปลงปิโตรเลียมที่ใกล้หมดอายุ และเปลี่ยนจากระบบสัมปทานเป็นระบบการแบ่งปันผลผลิตโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม รสนาไม่เห็นด้วยกับนโยบายลดราคาน้ำมันด้วยการลดภาษี
"เพราะภาษีเป็นรายได้ของรัฐในงบประมาณแผ่นดิน จึงไม่ควรลดราคาน้ำมันด้วยการลดภาษี หากลดราคาโดยไม่พิจารณาแก้ไขโครงสร้างราคาน้ำมันให้เกิดการแข่งขันตามกลไกตลาด การลดราคาน้ำมันจะเป็นเพียงประชานิยมชั่วคราว และจะก่อปัญหาให้กับงบประมาณแผ่นดินในระยะยาว
ดิฉันไม่เห็นด้วยการที่จะทำให้น้ำมันถูกด้วยการลดภาษี ถ้าไปลดภาษีแล้ว ในที่สุดรัฐบาลก็ต้องไปหาเงินส่วนอื่น จะเป็นเงินกู้ หรือเงินอะไรก็ตาม ในที่สุดมันก็จะพันกลับมา ดึงเงินจากกระเป๋าประชาชนจนได้"
หลายคนตั้งคำถามว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะสามารถดำเนินการได้อย่างเร็วที่สุดเมื่อไหร่
"ทำได้ทันที (ตอบเสียงดัง) ก็เหมือนคุณจ่ายจำนำข้าว เพียงแต่ว่าธุรกิจปิโตรเคมีเขาคงต้องดิ้นรน อาจแสดงความไม่พอใจ ก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายธุรกิจปิโตรเคมีจะมีอำนาจเหนือคสช.มากน้อยแค่ไหน
เวลานี้การปฏิรูปการเมืองนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปฏิรูปในเรื่องของกรรมสิทธิ์ ถ้าคุณไม่สามารถปฏิรูป รื้อลงไปถึงเรื่องของกรรมสิทธิ์ คุณอย่ามาพูดดีกว่า เพราะถ้าเพียงแค่บอกว่าจะเลือกตั้งแบบไหน นายกฯมาจากเลือกตั้งหรือสรรหา สส.สว.จะมายังไง แค่นี้ไม่พอ เพราะว่ากลุ่มทุนเขาพร้อมจะไปจับกับนักการเมือง หรือกลุ่มทหารที่มีอำนาจ ถ้าเกิดปล่อยให้กลุ่มทุนเข้ามาจับผู้มีอำนาจ เขาก็จะมาจับเพื่อที่จะได้เปรียบ Take adventage มากที่สุดในกระบวนการออกกฎหมาย รวมถึงกำหนดมาตรการต่างๆในนโยบายสาธารณะ”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
artikelnya sangat bermanfaat untuk pemain judi online
ตอบลบAGEN JUDI POKER DOMINO ONLINE DAN SITUS
CAPSA INDONESIA TERPERCAYA
Cerita Sex
Masterpoker88
99Dewa
masterdomino88
MASTERDOMINO88 AGEN JUDI POKER DOMINO ONLINE DAN SITUS CAPSA INDONESIA TERPERCAYA
Situs Judi Online Terpercaya
18dewa Agen Judi Poker , Domino dan Ceme
Online Indonesia Terpercaya
MASTERDOMINO88 AGEN
JUDI POKER DOMINO ONLINE DAN SITUS CAPSA INDONESIA TERPERCAYA
18Dewa Agen Judi Poker,Domino Dan Ceme Online
Indonesia Terpercaya
Judi Online Terpercaya
Megapoker88
Ipoker8
Berita Politik
Liputan389.com Merupakan Situs Berita Online Terupdate
Mega389 - Agen judi bola online terpercaya di indonesia
Situs Judi Online Terpercaya
Situs Judi Online Terpercaya
Berita Poker Online
นี่คือประกาศสาธารณะสำหรับทุกคนที่ต้องการขายไตเรามีผู้ป่วยที่ต้องการการปลูกถ่ายไตดังนั้นหากคุณสนใจที่จะขายไตโปรดติดต่อเราทางอีเมลของเราที่ iowalutheranhospital@gmail.com
ตอบลบนอกจากนี้คุณยังสามารถโทรหรือเขียนถึงเราได้ที่ whatsapp ที่ +1 515 882 1607
หมายเหตุ: รับประกันความปลอดภัยของคุณและผู้ป่วยของเราได้ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้กับทุกคนที่ตกลงที่จะบริจาคไตเพื่อช่วยพวกเขา เราหวังว่าจะได้ยินจากคุณเพื่อให้คุณสามารถช่วยชีวิต