ทวงคืน ปตท.

ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รัฐบาลเล่นกลราคาน้ำมัน-ก๊าซ รีดเงินประชาชน-ปตท.รวยอื้อ

รายงานการเมือง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์16 สิงหาคม 2555 07:53 น.
       
       สุภาษิตโบราณที่ใช้กันจนมาถึงทุกวันนี้เพื่อเตือนสติผู้หญิง คือ “มีผัวผิดคิดจนตัวตาย” น่าจะนำมาปรับใช้กับคนไทยในยุคปัจจุบันได้ว่า “เลือกพรรคผิดคิดจนประเทศพัง” เพราะเพียงแค่ 1 ปีความฉิบหายก็มาเคาะประตูบ้านจนคนไทยแทบตั้งรับไม่ทัน
       
       เรียกว่าเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า แต่น่าแปลกที่สื่อยักษ์ใหญ่เงียบกริบ ไม่สนใจนโยบายแหกตาโกหกเอาคะแนนเสียงสุดท้ายทำไม่ได้ก็ไม่มีการทวงถาม เหลือสื่ออยู่เพียง “ASTVผู้จัดการ” ที่ยังปักหลักสู้กับทุนสามานย์อย่างทรหด


       
       ก็เพียงพอที่จะทำให้คนบางกลุ่มตาสว่างมองเห็นอันตรายที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังขับรถพาคนไทยลงสู่หุบเหวแห่งหายนะ จากนโยบายประชานิยมบ้าคลั่งที่กำลังจะสะสมเป็นหนี้ท่วมบ้านเมือง รวมถึงการจำนำข้าวกำลังจะเป็นจำนำประเทศในไม่ช้านี้
       
       ประเด็นที่กำลังจะกลายเป็นทุกข์หนักของคนไทย คือ การลอยตัวแก๊สหุงต้มในปีหน้า และการทยอยลอยตัวแอลพีจีภาคขนส่ง ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง.มีมติปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง 25 สตางค์ต่อกิโลกรัม จาก 21.13 เป็น 21.38 บาทต่อกิโลกรัม และจากนี้ไปจะทยอยปรับขึ้นทุกเดือนจนเท่ากับราคาตลาดโลก
       
       ในวันเดียวกัน กบง.ยังปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของเบนซิน 95 ปรับลด 60 สตางค์ต่อลิตร เหลือ 6.50 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ลด 1.50 บาทต่อลิตร เหลือ 5.20 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ปรับลด 50 สตางค์ เหลือ 1.30 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ปรับลด 1.20 บาทต่อลิตร ทำให้ต้องนำเงินไปชดเชย 1 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 ชดเชยเพิ่ม 30 สตางค์ต่อลิตร รวมเป็นการชดเชยเพิ่ม 1.30 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์อี 85 ชดเชยเพิ่ม 20 สตางค์ต่อลิตร เป็นชดเชยรวม 12.70 บาทต่อลิตร
       
       ขณะที่ดีเซลไม่เก็บเข้ากองทุนน้ำมัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันติดลบเพิ่มจาก 15 ล้านบาทต่อวัน เป็นติดลบ 37 ล้านบาทต่อวัน
       
       ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อจะชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติในการบริหารกองทุนน้ำมัน ทั้งเรื่องหลักคิดและวิธีปฏิบัติ ซึ่งประโยชน์มิได้ตกอยู่กับประชาชน แต่คนที่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือ “ผู้ถือหุ้น ปตท.!”
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม กบง.ก็เพิ่งจะปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของน้ำมันเบนซิน 91 ลง 40 สตางค์ แทนที่จะทำให้ราคาขายปลีกลดลงกลับพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทำลายสถิติในยุคอภิสิทธิ์ซึ่งสูงสุดในวันที่ 30 เมษายน 2554 ราคา 44.34 บาท แต่ยุคยิ่งลักษณ์​10 สิงหาคม 55 ทุบสถิติไปอยู่ที่ 44.55 บาทแพงกว่ายุคอภิสิทธิ์ 21 สตางค์ ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันดิบถูกกว่าถึง 22 ดอลลาร์สิงคโปร์
       
       แต่ที่แพงขึ้นคือ การเพิ่มค่าการตลาดของ ปตท.ที่เพิ่มจากเดิม 0.4125 บาท เป็น 1.3178 บาท เพิ่มขึ้น 0.9053 บาท หรือ 219.46%
       
       คำถามคือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดสิงคโปร์ที่ ปตท.ใช้อ้างอิงมันนิ่งคงที่ แต่ ปตท.ปรับขึ้นราคาเพราะต้องการกำไรเพิ่มโดยที่ต้นทุนเท่าเดิม และรัฐบาลผ่าน กบง.ก็ใช้กองทุนน้ำมันไปรองรับการแสวงหากำไรของ ปตท.ด้วยการปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อให้คนไทยไม่รู้สึกว่าน้ำมันแพงสวนทางราคาตลาดโลก จนทำให้กองทุนน้ำมันติดลบ 15 ล้านบาทต่อวัน แต่ ปตท.ได้กำไรจากค่าการตลาดเพิ่ม 219.46%
       
       เป็นการใช้กองทุนน้ำมันมาบริหารเพื่อ ปตท. ไม่ใช่เพื่อประชาชน 
       
       ไม่ต่างจากกรณีล่าสุดที่มีการปรับลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันยกตัวอย่างเบนซิน 91 ลดการจัดเก็บ 1.50 บาท ทำในวันเดียวกับการประกาศขึ้นราคาแอลพีจีอีก 25 สตางค์ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์คือ ปตท.ที่จะได้กำไรเพิ่มขึ้น กบง.ก็ใช้วิธีบริหารอารมณ์คนไทยด้วยลดการจัดเก็บเงินในส่วนเบนซินและอีกหลายชนิดลงอีก ทั้งที่เพิ่งปรับลดไปเพียงแค่ 4 วัน ไม่มีเรื่องราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากทำให้คนไทยส่วนหนึ่งรู้สึกว่าจ่ายเบนซินน้อยลง
       
       ส่วนแอลพีจีภาคขนส่งขึ้นก็ช่างมันเพราะไม่ได้เติม โดยไม่ทันคิดว่าสุดท้ายนโยบายลอยตัวแอลพีจีภาคขนส่งจะวนกลับมาเป็นภาระของประชาชนในที่สุด คือ ราคาสินค้าจะขยับขึ้นอีกระลอกจากภาระต้นทุนภาคขนส่งที่สูงขึ้น นอกจากนี้กองทุนน้ำมันยังติดลบเพิ่มอีก 38 ล้านบาทต่อวันด้วย
       
       สุดท้ายแล้วคนใช้เบนซินที่ดีใจว่าราคาน้ำมันลด ก็จะต้องไปจ่ายเพิ่มเป็นค่าข้าวแกงที่แพงขึ้น และสินค้าอื่นๆ ที่จะทยอยปรับราคาตามมา อีกทั้งยังต้องแบกภาระจากหนี้กองทุนน้ำมันที่จะเพิ่มสูงขึ้น
       
       เพราะรัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อไปโปะกองทุนน้ำมันที่ติดลบ โดยในปัจจุบันมีการเปิดวงเงินกู้เอาไว้แล้ว 3 หมื่นล้านบาท แต่คนที่มีแต่ได้กับได้คือ “ผู้ถือหุ้น ปตท.” ที่จะได้กำไรเพิ่มขึ้นจากการลอยตัวก๊าซทุกชนิดตามนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
       
       การบริหารงานแบบนี้เท่ากับทำลายกองทุนน้ำมันซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาเถียรภาพด้านราคาเพื่อให้มีความผันผวนน้อยที่สุด และอุดหนุนพลังงานทดแทนแอลพีจี และเอ็นจีวี อย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะไม่สามารถอุดหนุนแอลพีจีได้อย่างที่เคยทำแล้ว กองทุนยังติดลบ จากการบริหารด้วยการนำการเมืองมานำหน้านโยบายพลังงาน และการนำกำไรของ ปตท.มานำหน้าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
       
       คนไทยกำลังต้องเผชิญกับภาวะสินค้าที่แพงขึ้นจากต้นทุนภาคขนส่งที่สูงขึ้น คนไทยกำลังต้องเผชิญกับการกินข้าวแกงในราคาที่แพงขึ้น เพราะก๊าซหุงต้มจะเพิ่มขึ้นประมาณ 178 บาทต่อถังในปีหน้า
       
       ขณะที่กองทุนน้ำมันกลับติดลบ สร้างหนี้ให้คนไทยต้องแบกภาระแล้ว 3 หมื่นล้านบาท เงินส่วนนี้หายไปไหน ในเมื่อคนไทยยังใช้น้ำมันแพงแทบจะไม่แตกต่างจากเดิม แถมกำลังจะต้องใช้แอลพีจี เอ็นจีวี ในราคาตลาดโลก กองทุนน้ำมันก็ติดลบ แล้วใครที่ได้ประโยชน์จากการบริหารที่ผิดพลาดอย่างตั้งใจในเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่ ปตท.
       
       ปตท.กำลังรุดหน้าเติบโตแบบก้าวกระโดดมีกำไรในปี 2554 กว่าแสนล้านบาท และในปี 55 เพิ่งติดอันดับ 1 ใน 100 บริษัทใหญ่ที่สุดของโลก โดยนิตยสารธุรกิจชื่อดัง “ฟอร์จูน” ได้เปิดเผยว่า ปตท.ติดอันดับ 95 ปรับจากปีที่แล้วซึ่งอยู่อันดับ 128 และเป็นบริษัทเดียวของประเทศไทยที่ติดอันดับ 1 ใน 500 ของการจัดอันดับบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจากนิตยสารฟอร์จูน
       
       ร่ำรวยปันผลกันไม่หวาดไม่ไหว จนลืมไปว่า ปตท.คือรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกำต้องดูแลให้มีการส่งกำไรคืนกลับให้ประเทศและประชาชน แต่วันนี้รัฐบาลสนับสนุนให้ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อนายทุน
       
       ขูดรีดคนไทยไปเพิ่มกำไรให้ ปตท.อย่างน่ารังเกียจที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น