คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนเคาะข่าว”
วันที่ 17 ต.ค. เมื่อเวลา 20.30 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมรายการ “คนเคาะข่าว”
โดยนายปานเทพกล่าวว่า นับตั้งแต่ที่ยุติการชุมนุม 158 วัน เราได้ดำเนินการดำรงสถานภาพเป็นเอเอสทีวี ตอนนั้นรู้เลยว่าเอเอสทีวีต้องเผชิญกับอำนาจรัฐฝ่ายพรรคเพื่อไทย กลุ่มนายทุนก็ไม่มีทางที่จะมาสนับสนุนเอเอสทีวี เนื่องจากหวาดกลัวเรื่องการถูกคุมคามจากอำนาจรัฐ
ช่วงชุมนุม 158 วันก็ต้องยอมรับว่าการที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์ ก็ทำให้คนที่ชื่นชมพรรคประชาธิปัตย์ถอยออกไปจากการสนุบสนุนเอเอสทีวี ไม่ว่าจะเป็นยอดเอสเอ็มเอสที่ลดลง ไม่ว่าจะยอดผลิตภัณฑ์เอเอสทีวีที่ลดลง ซึ่งเราก็รับสภาพ
จนกระทั่งระหว่างการชุมนุมก็ถูกโจมตีว่าได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณหลายพันล้านบาท ถึงขนาดปล่อยข่าวลือว่าสนับสนุนเอเอสทีวีทำไม รวยแล้ว จนกระทั่งมีคนเชื่อ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเอเอสทีวีอ่อนแอลงมาก
ความจริงเอเอสทีวีอยู่ไม่ได้ด้วยตัวเองมานานแล้ว รอบหลายปีที่ผ่านมา นายสนธิได้ขายทรัพย์สินของตัวเอง ขายรถยนต์ส่วนตัว ที่ดิน หุ้นโรงแรมในต่างประเทศ เพื่อเอาเงินมาทุ่มกับเอเอสทีวี หลายครั้งก็กู้ยืมเงินจากเพื่อน จากนักธุรกิจคนอื่น ไม่มีใครรู้เลยว่าเอเอสทีวีประสบปัญหาอะไร
นายปานเทพกล่าวต่อว่า เราไม่เคยรับเงินจากนายทุนใหญ่ ต่อให้พลิกขั้วเป็นประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยได้รับเงินจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากนายทุน เรากำลังท้าทายสิ่งที่สำคัญมาก คือ เราอยู่ภายใต้ความเชื่อเดิมว่าทุนกับอำนาจรัฐเป็นตัวครอบงำสื่อ สื่อจะดำเนินการธุรกิจได้ต้องเลือกทุนใดทุนหนึ่ง ต้องอยู่ภายใต้อำนาจการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถึงจะอยู่ได้ แต่เราก็วิจารณ์ทุกพรรคการเมือง และเราก็เลือกที่จะยอมสูญเสียมวลชนจำนวนหนึ่ง ที่เลือกเชียร์บางพรรคการเมือง เหลืออยู่อย่างเดียวคือประชาชนจะสนุบสนุนมากน้อยแค่ไหน
มีคนถามว่าสื่อทางเลือกอื่นๆ ทำไมอยู่ได้ ตนบอกแบบชัดๆ เลย สื่อทางเลือกเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ หรืออำนาจทุน ข้างใดข้างหนึ่งทั้งสิ้น
แล้วทำไมเราอยู่ไม่ได้ เอเอสทีวีนอกจากไม่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ อำนาจทุน เรายังต้องดำรงอยู่เป็นสถานีข่าวด้วย เพราะหากตัดบทง่ายๆ แค่เปิดดีวีดีถ่ายทอดเพื่อหาโฆษณา ไม่ต้องมีบุคลากรมากมาย แต่สถานีข่าวต้องมีกล้องในสตูดิโอ กล้องข้างนอกสถานที่ มีรถถ่ายทอดสด มีศูนย์ข่าวต่างจังหวัด
“เอเอสทีวีอาจไม่ร่ำรวยในทางธุรกิจ แต่คิดว่าเราเปลี่ยนประเทศได้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา เชื่อว่าเอเอสทีวีเป็นประวัติศาสตร์ ที่ทุกคนภาคภูมิใจได้ ถ้าใครได้ดูอยู่ ถ้าใครสนับสนุน ใครที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม เราคือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ร่วมสร้างขึ้นด้วยกัน” นายปานเทพกล่าว
นายสุวัตรกล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนนายสนธิ รู้นิสัยดีว่าเป็นคนมีหลักการ ค้างค่าเช่าดาวเทียม 12 ล้านบาท ตนก็บอกว่าตอนนี้กองทุนพันธมิตรฯ สู้คดี มีเงินสด 2.5 ล้าน นายสนธิไม่เอา ไม่เคยเอ่ยปากเลย และไม่เคยเอ่ยปากกับนายพิภพที่ดูแลกองทุนช่วยผู้บาดเจ็บ ไม่เคยเอ่ยปากกับ อ.สามารถ ที่ดูแลมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
ทุกคนรู้ดีในอดีตที่ผ่านมานายสนธิถูกฟ้องล้มละลาย โดย พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องต้องการให้ล้มละลาย เป็นหนี้ 200 กว่าล้าน แล้วก็ล้มละลายไป พอ 3 ปีกลับมาโดยอัตโนมัติ หลายคนบอกว่าล้มบนฟูก แต่ตนรู้ดีว่าไม่ได้ล้มบนฟูก เงินที่ทำบริษัท ไทยเดย์ ก็ดึงเงินส่วนของหนังสือพิมพ์ ซึ่งอยู่ได้แล้วมาทำ หลายคนบอกว่าไปรับเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ฟ้อง ปตท.แล้วก็ยังมีข่าวว่ารับมาอีก 3 พันล้าน และแบ่งตนกับ พล.ต.จำลอง ถ้ารับเงินมาจะฟ้องหรือ เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นความจริง
นายสุวัตรกล่าวอีกว่า มีอีกหลายเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผย เป็นความลับของลูกความ แต่ขออนุญาตพูดหน่อย นายสนธิแลกเช็ค 20 ล้านบาท เป็นหนี้ค้ำประกันในกิจการเอเอสทีวีอยู่ ถูกฟ้องที่ศาล ตอนนี้ศาลตัดสินให้แพ้แล้ว อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ก็ไม่มีเงินไปวางศาล เขาบังคับให้เราจ่ายเงินแต่ก็ไม่มีจ่าย ตนรู้สถานะนายสนธิดี
ถ้าไม่มีเอเอสทีวีจะไล่ พ.ต.ท.ทักษิณได้หรือ ไม่มีเอเอสทีวีไล่นายสมัคร นายสมชาย ได้หรือ แล้วใครจะต่อสู้เพื่อปราสาทพระวิหาร
มั่นใจไม่มีทางแพ้คดีปตท.
นายปานเทพกล่าวว่า เป็นเรื่องท้าทายวันที่ ปตท.มาเจรจากับทนายสุวัตร ให้ยุติการฟ้องคดี มาพบนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ให้หยุดฟ้อง ในที่สุดเขาก็มีโฆษณามา หวังว่าเราจะเกรงใจแล้วหยุด แต่เราไม่หยุด ในที่สุดคนก็ลือว่ามีโฆษณาแล้ว แสดงว่ายอมจำนนต่อ ปตท. ในที่สุดเราก็เดินหน้าไปฟ้องให้เห็น และศาลก็ประทับรับฟ้อง เป็นบทพิสูจน์ที่สื่อเล็กๆ ท้าทายทุนที่ใหญ่ที่สุด เราสู้กับทุนมหาศาล เพราะเรามีประชาชน ที่เสียสละมามากแล้ว ทั้งชีวิต ทั้งเงินบริจาค ที่เราทำคือเกียรติภูมิของสื่อ ตนคิดว่าปตท.เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดที่สุด ว่าเราทำเพื่ออะไร
นายสุวัตรกล่าวเสริมว่า ปกติเวลาตนไปฟ้องคดีไหน สื่อจะไปทุกสื่อเลย แต่วันที่ไปฟ้อง ปตท. เขาสามารถปิดข่าวฟรีทีวีได้หมดทุกช่อง นักข่าวไปทำข่าวแต่ก็ไม่ได้ลง มีมติชนลงอยู่นิดนึง จนกระทั่งศาลรับฟ้องเมื่อ 7 ต.ค.ก็ยังไม่มีข่าว หมายความว่าเขาสามารถปิดสื่อได้ทุกฉบับจริงๆ เขาแน่มาก
นายสุวัตรกล่าวอีกว่า จากนี้ไปอย่างเร็ว 1 ปี อย่างช้าปีครึ่ง คดี ปตท.จะตัดสิน บอกได้เลยว่าเป็นความภาคภูมิใจของพันธมิตรฯ ทุกคน พวกเราช่วยกันหาข้อมูล และต้องขอขอบคุณพันธมิตรที่จองหุ้น ปตท.แล้วไม่ได้ก็มาร่วมฟ้องกับเรา หากศาลตัดสินให้ชนะคดี เรียกว่าประเทศไทยท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพเลย
เพราะปตท.หากินกับน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ ประเทศไทยส่งออกน้ำมันเป็นอันดับหนึ่ง สูงกว่าข้าวสารและยางพารา มีน้ำมันอันดับ 35 ของโลก มีแก๊สธรรมชาติที่ผลิตได้อยู่ในอันดับ 23 ของโลก แต่เก็บค่าภาคหลวงบวกภาษีบวกค่าจิปาถะได้แค่ 28.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไนจีเรียเก็บ 70 เปอร์เซ็นต์ กัมพูชา 60 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย 90 เปอร์เซ็นต์
เมื่อผลพิพากษาออกมาผู้ฟ้องทุกคน ไม่ได้อะไรแม้แต่บาทเดียว แต่ผลประโยชน์ตกที่ประชาชนทั้งประเทศ เพราะคำขอท้ายฟ้อง ระบุว่า
1.ขอให้ศาลได้โปรดมีคำพิพากษาว่าการขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิม 50 ล้านหุ้น ตกเป็นโมฆะ ให้ขายใหม่ และให้เพิกถอนบัญชีผู้ถือหุ้นที่ได้ซื้อหุ้นไปก่อนเวลา 09. 30 น. จำนวน 863 ราย ซึ่งพวกนี้ต้องถูกฟ้องคดีอาญาด้วย และที่ได้หุ้นไปมากกว่า 1 ใบจอง 428 ราย และให้เพิกถอนบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นผู้อุปการะคุณ 25 ล้านหุ้น ที่ได้ไปหุ้นละ 10 บาท และให้หุ้นตกเป็นของแผ่นดินหรือผู้ถือหุ้นเดิมก็คือกระทรวงการคลัง และให้เพิกถอนบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่เป็นนิติบุคคลต่างประทศ 320 ล้านหุ้น พวกนี้ก็คือฝรั่งหัวดำ นอมินีทั้งหลาย เชื่อว่าเป็นนักการเมืองทั้งนั้น ถ้าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็คือปตท.ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า เตรียมฟ้องภายใน พ.ย. บอกก่อนเลยธนาคารไทยพาณิชย์ที่รับจองหุ้นก่อน 09.30 น. และรับมากกว่า 1 ใบจอง โดนก่อน ถือว่าร่วมกันฉ้อโกงประชาชน เพราะตามทีโออาร์แล้วซื้อผิดจากที่กำหนดมันต้องเด้งออก แต่นี่คนนึงได้ 10-11 ใบจอง
2.ขอศาลได้โปรดมีคำพิพากษาให้หุ้นในโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 4 โรง ที่แปรรูปไปโรงละ 1 บาท ทั้งหมดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ถือ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะเป็นทรัพย์ของรัฐและประชาชนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ฉ้อฉล เบียดบัง ตีราคาตามสมุดบัญชีนำไปเป็นของตน แต่หากศาลจะเห็นว่าหุ้นในโรงกลั่นน้ำมันดังกล่าวจำนวน 4 โรง ยังคงเป็นของปตท.ก็ขอให้ศาลได้โปรดระงับการผูกขาด โดยโปรดระงับการมีอำนาจเหนือตลาดและครอบงำตลาด โดยสั่งให้ปตท.ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 25 เปอร์เซ็นต์ ในโรงกลั่นใดโรงกลั่นหนึ่ง และขายหรือกระจายหุ้นในโรงกลั่นอีก 3 โรง เพราะถ้าคุม 4 โรง ราคาน้ำมันไม่มีการแข่งขัน นอกจากนั้นอีก 3 โรง ให้กระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ไม่ใช่กิจการของเครือปตท. โดยให้ปตท.ถือหุ้นในโรงกลั่นที่เหลืออีก 3 โรง ได้ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นตั้ง CEO ไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมสำหร้บผู้บริโภค
3.ขอให้ศาลได้โปรดมีคำสั่งหรือพิพากษาบังคับให้กระทรวงการคลังดำเนิน การทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันได้มาจากอำนาจตามกฎหมายมหาชน คือ โรงกลั่น ท่อส่งก๊าซ รวมอุปกรณ์ส่วนที่ยังไม่ได้คืน ทั้งบนบก ในทะเล รวมทั้งให้ใช้ค่าท่อส่งก๊าซ และดอกผลของค่าใช้บริการในการส่งก๊าซทั้งหมด และทรัพย์สินตามฟ้อง ข้อ 3.1-3.5 คือ ให้ไปตามเอาทรัพย์สินของบริษัทลูกทั้งในและต่างประเทศ กลับมาด้วย
และให้กระทรวงการคลังดำเนินการทวงคืนโรงแยกก๊าซ 4 โรง เนื่องจากเป็นทรัพย์ของรัฐ และประชาชน ที่ถูก ปตท.ฉ้อโกง เบียดบังนำไปเป็นของตน แต่หากศาลเห็นว่าท่อก๊าซ โรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ และอุปกรณ์ ยังเป็นของปตท. ขอศาลได้โปรดระงับการผูกขาดทางการค้า และโปรดระงับการมีอำนาจเหนือตลาด และการครอบงำตลาด โดยสั่งให้ปตท.เป็นเจ้าของโรงแยกก๊าซโรงใดโรงหนึ่ง และขายโรงแยกก๊าซอีก 3 โรงให้ประชาชน ทั้งนี้เพื่อสร้างการแข่งขัน และการค้าที่เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค
“คำฟ้องนี้ศาลตรวจดูแล้ว ปตท.วิ่งตีนขวิดเพื่อไม่ให้รับฟ้อง แต่เป็นคำฟ้องที่มีเหตุผล เขียนมาจากข้อเท็จจริง และกลั่นจากมันสมองทุกหยด ศาลจึงรับฟ้อง และโดยรูปคดีไม่มีทางแพ้ แต่ที่กริ่งเกรง กลัวว่าศาลตัดสินให้การขายหุ้นเพิ่มทุนเป็นโมฆะจริง แต่ศาลจะระบุว่าการเพิกถอนหุ้นจะกระทบเป็นวงกว้าง กลัวศาลเขียนแบบนี้ อันนั้นจะเป็นการใช้หลักรัฐศาสตร์ แม้มันกระทบวงเท่าไหร่เมื่อเป็นนิติรัฐต้องตัดสินตามกฎหมาย ถ้าตัดสินตามหลักรัฐศาสตร์ จะไม่เห็นด้วย”
นายสุวัตรกล่าวว่า มั่นใจว่าหากชนะคดี ประชาชนจะใช้น้ำมันราคาถูกลงถึงครึ่งหนึ่ง แก๊ซ แอลพีจี เอ็นจีวี ถูกลงและไม่ขาดแคลน ถ้าไม่มีการครอบงำตลาด ประเทศเราไม่มีอะไรขาด ประเทศจะโชติช่วงชัชวาล
นายปานเทพกล่าวเสริมว่า เนื้อหาที่เราเตรียมไม่แพ้หรอก ต่อให้ผู้พิพากษาไม่เข้าใจเรื่องนี้มาก่อน เมื่อเห็นหลักฐาน เห็นข้อเท็จจริง ศาลจะต้องให้ความเป็นธรรมต่อประชาชนในท้ายที่สุด แล้วมันจะมีหลายอย่างกลับคืนสู่ประเทศ ค่าภาคหลวงที่ต่ำที่สุด จากเดิมที่เราได้ 4 หมื่นล้าน จะกลายเป็น 4 แสนล้านบาทต่อปี หรือแม้กระทั่งปตท.ที่มีสินทรัพย์ราคาถูก ที่ประเมินไว้โรงกลั่นไว้โรงละ 1 บาท จะกลายเป็นโรงละ 1.2 แสนบาท ท่อก๊าซอีกต่างหาก มันจะเป็นสินทรัพย์มโหฬารกลับมาสู่ประชาชน