ทวงคืน ปตท.

ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ยอดกำไร ปตท.ในตลาดหลักทรัพย์ / สาเหตุ ของความเหลื่อมล้ำ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยงบการเงินบริษัทจดทะเบียนงวด เดือน 442 แห่ง ทำกำไรสุทธิสูงถึง 518,282 ล้านบาท  
เพิ่มขึ้น 21.30% และมียอดขายรวมถึง 6,428,534 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24.89% โดยมีบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET และ 
mai รวม 41 บริษัท มียอดขายและกำไรงวด เดือนมากกว่าปีที่แล้วทั้งปี 
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน 
ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) มีกำไรสุทธิ 386 บริษัท คิดเป็น 87.33% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ในจำนวนนี้มีบริษัทจดทะเบียน 33 แห่ง สามารถทำกำไร สุทธิสะสมงวด เดือนมากกว่าปีที่ 2553 ทั้งปี  
ขณะที่ไตรมาส ปี 2554 บริษัทจดทะเบียนใน SET มียอดขายเติบโตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,240,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.50%  
จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิรวม 154,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.42%
ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในงวด เดือนยังมีตัวเลขอัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรสุทธิรวมที่ปรับ 
ตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนและมีกำไรรวมสูงสุดต่อเนื่อง  จากงวดปี 2553 ถึงงวดครึ่งปีแรกของปี 2554 ที่ผ่านมา  
ซึ่งบ่งชี้ถึงพื้นฐานอันแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและการเติบโตของยอดขายในแทบทุกหมวดธุรกิจ อย่างไรก็ตามผล 
ประกอบการ  งวด เดือนนี้ ยังไม่ได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบจ.ที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยที่ 
เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่าน มา “นายจรัมพรกล่าว” 
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานงวด เดือนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท 
.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย  
(SCC) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
จากผลการดำเนินงานงวด เดือน กลุ่มอุตสาหกรรม อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่ม  
รกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ขณะที่หมวดธุรกิจ ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด อันดับ จาก 27 หมวด
ธุรกิจ ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร และ หมวดวัสดุก่อสร้าง
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน mai งวด เดือนแรก ปี 2554 บริษัทจดทะเบียนนำส่งงบการเงินรวม
68 บริษัท จากทั้งหมด 70 บริษัท มียอดขายรวม 52,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 34.94 และมีกำไร
สุทธิรวม 2,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 37.85% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20.65% ลดลง
จาก 22.46%
ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนใน mai ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด อันดับแรกคือ บมจเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) บมจเอเชีย
กรีน เอนเนอจี (AGE) และ บมจโกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) ขณะที่ในไตรมาส ปี 2554 มีกำไรสุทธิ
รวม 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 17.78% โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสาเหตุหลักมาจาก
ยอดขายรวมเพิ่มขึ้นถึง 36.75% และมีบริษัทจดทะเบียนใน mai ที่สามารถทำกำไรสุทธิสะสมงวด เดือนแรกของปี
ได้สูงกว่ายอดรวมตลอด ทั้งปีในปีก่อนหน้าถึง บริษัท

สาเหตุ ของความเหลื่อมล้ำ
(คลิ๊กขวาที่รูป เปิดในหน้าต่างใหม่ แล้วกดขยายภาพ)


วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ซีดี อี-บุ๊ก (อิเลคทรอนิกส์บุ๊ก) ปล้นขุมทรัพย์อ่าวไทย



มีความประสงค์สั่งซื้อ ซีดี อี-บุ๊ก (อิเลคทรอนิกส์บุ๊ก) ปล้นขุมทรัพย์อ่าวไทยฯ. บรรณาธิการและเรียบเรียงโดย ประสิทธิ์ ไชยชมพู (รวมค่าจัดส่ง 30 บาท ถ้าสั่งซื้อสินค้าตั้งแต่ 10 แผ่นขึ้นไป จัดส่งฟรี -สั่งเยอะมีแถม) 

โอนเงินเข้าบัญชี ชื่อบัญชี   นายประสิทธิ์  ไชยชมพู
เลขที่บัญชี 333-1-41576-6
ประเภท ออมทรัพย์
ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา  สาขาอาคารเนชั่น ทาวเวอร์ 
ถนนบางนา-ตราด เขตบางนา กรุงเทพฯ

*กรุณาส่งสำเนาใบสั่งซื้อ และสำเนาการชำระเงินมาที่  : สำนักพิมพ์เข้มข้น 263-265 ถ.จิตรบำรุง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000 และโทรสาร 044 513 782 หรือ E-mail :  pcprasit@gmail.com &  salai_pu00009@hotmail.com


วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สงครามนกกระสา ครั้งที่ 1



งานเสวนาวิชาการ เรื่อง"สงครามนกกระสา" ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธ์ทิพย์ (ชั้น๔) อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์

มหาวิทยาลัย วันพุธที่ ๒๕ เม.ย. ๕๕ เวลา

๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น. วิทยากร คุณไพศาล พืช

มงคล พลเอกกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ คุณทศพล

เปี่ยมสมบูรณ์ ดำเนินรายการโดย ดร.วุฒิพงษ์

เพรียบจริยวัฒน์ จัดโดยสถาบันสหสวรรษ ถ่ายทอดสดโดย fmtv

สงครามนกกระสา ครั้งที่2

คลิปรายการถ่ายทอดสดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง"สงครามนกกระสา"(ตอน 2) ณ ห้องประชุมจุมภฏ-พันธ์ทิพย์ (ชั้น๔) อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย วันพุธที่ ๒๕ เม.ย. ๕๕ - 1 ชั่วโมง 44 นาที





สงครามนกกระสา ครั้งที่3

คลิปงานเสวนา "สงครามนกกระสา ครั้งที่3" ตอน "น้ำมันแพง เงินเข้ากระเป๋าใคร" ณ อาคารประชาธิปก-รำไพพรรณี ชั้น4 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยากรรับเชิญ.. มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา และผศ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการด้านพลังงานและคอลัมนิสต์ ร่วมกันจัดข้อมูลมาเต็มๆเพื่อเปิดโปงขบวนการปล้นชาติ-ปล้นน้ำมัน



วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ปล้นประเทศไทย ภาค 1"


เปิดหลักฐานปล้นประเทศไทย

ประเทศไทยมีก๊าชธรรมชาติมากติดอันดับ 24ของโลก และมีน้ำมันดิบติดอันดับ 33 ของโลก แต่ส่วนแบ่งที่คนไทยได้รับ กลับน้อยนิด... เกิดอะไรขึ้น!!! ติดตามได้ใน "เปิดหลักฐานปล้นประเทศไทย" โดย ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ดำเนินรายการโดย คุณสมลักษณ์ หุตานุวัตร ทางช่องFMTV ทีวีเพื่อมนุษยชาติ

"ข้อมูลเพื่อสาธารณะไม่สงวนสิทธิ์ ขอให้เป็นข้อมูลเพื่อคนไทยไม่ฆ่ากัน เพราะถูกหลอกใช้ในเกมส์การเมือง เพราะแท้จริงแล้ว พวกเขากำลังปล้นประเทศไทย ขอให้ทำเพื่ออนาคตลูกหลานไทยและเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองเท่านั้น เราไม่สามารถหยุดความโลภเอกชนด้วยความโลภมหาชน เราไม่พึงหยุดความเอารัดเอาเปรียบด้วยการทำลายล้างมนุษย์ เราไม่สามารถเห็นความเป็นธรรมโดยการอยู่เฉยๆ เราจำเป็นต้องตื่นรู้ด้วยปัญญา ข้อมูล ความจริง และกระทำการเอาคืนด้วยความเมตตาอย่างฉลาด มิใช่ด้วยการยือแย่ง ทำลาย แต่ด้วยการจัดระบบผลประโยชน์ที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แม้การนี้จะยากเย็นเพียงใดขอให้มีพลังและกำลังใจ"



"ปล้นประเทศไทย ภาค 2"


ปล้นประเทศไทย ภาค2 โดยมล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี 

ออกอากาศทาง fmtv


"ปล้นประเทศไทย ภาค3"

คลิปรายการย้อนหลัง ปฏิรูปประเทศไทย ตอน.."ปล้นประเทศไทย ภาค3"ดำเนินรายการโดย..อ.วฤทธิ์
ชินสาย /วิทยากรรับเชิญ: มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ดร.ณรงค์ โชควัฒนา ออกอากาศทาง fmtv กรุงเทพฯ




วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าว ทุจริตในวงการน้ำมัน - การโยกย้าย และท่อก๊าซแตก เกิดในห้วงเวลาเดียวกัน


ปตท.ป่วนหนัก! มรสุม "บิ๊กไทยออยล์" ทุจริตน้ำมัน "ณอคุณ-ภูษณ" แจงข้อเท็จจริง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์25 มิถุนายน 2554 11:48 น.
ปตท. โต้ข่าวการแสวงประโยชน์จากนายหน้าน้ำมันในบริษัท "ไทยออยล์" ยันการตรวจสอบย้อนหลัง 2-3 ปี ไม่พบสิ่งผิดปรกติ "ภูษณ" พร้อมท้าให้พิสูจน์ความโปร่งใส พร้อมยืนยัน การประชุมบอร์ด 24 มิ.ย. ไม่มีการถอดวาระโยกใหญ่ผู้บริหาร เพราะโดนกระแสข่าวกดดัน ส่วนตำแหน่งกรรมการของตนเอง ยังเหมือนเดิม แต่อาจลดบทบาทเพื่อไปเป็นอาจารย์ที่อังกฤษ "ณอคุณ" แจงข่าวอยู่เบื้องหลังปลด "สุรงค์" ไม่เป็นความจริง แต่ถูกสื่อบางรายบิดเบือน จี้แสดงความรับผิดชอบ
       
       นายภูษณ ปรีย์มาโนช กรรมการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วานนี้ โดยยืนยันว่า ที่ประชุมบอร์ดไม่มีวาระการโยกย้ายหรือการปรับเปลี่ยนผู้บริหารบริษัทในเครือ ปตท. ตามที่ปรากฎเป็นข่าว พร้อมระบุว่า ตนเองได้โทรศัพท์สอบถามไปที่นายนริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการ ปตท. ซึ่งได้รับคำยืนยันว่า ไม่มีวาระการโยกย้ายผู้บริหาร หรือถอดวาระออกไปเพราะเป็นข่าว
       
       "เมื่อคืนวันที่ 23 มิถุนายน 2554 ก่อนประชุมบอร์ด ผมโทรไปสอบถาม อาจารย์นริศ ชัยสูตร ประธานกรรมการ ปตท. เพื่อทราบว่า มีวาระการโยกย้ายผู้บริหารหรือไม่ ท่านก็ยืนยันว่า ไม่มี ไม่ใช่เป็นเพราะเป็นข่าว แล้วถอดวาระออก"
       
       นายภูษณ ยังกล่าวถึงตำแหน่งกรรมการของตนเอง โดยย้ำว่า ยังไม่มีการปรับเปลี่ยน ซึ่งตามข้อเท็จจริง ตนเองได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็เลยหารือกับทาง ปตท. เพื่อจะขอลาออกจาก กรรมการ ปตท. เพื่อไปเพิ่มบทบาทในการตำแหน่งอาจารย์มากขึ้น ทำให้ต้องลดบทบาทงานด้านกรรมการลง
       
       "ผมคุยกับ ปตท.แล้ว อาจจะลดบทบาทกรรมการของ ปตท.คาดว่าจะชัดเจนในปลายปีนี้ ส่วนกรรมการบริษัทในเครือ ปตท.นั้น ยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง"
       
       ส่วนที่มีข่าวว่า มีขบวนการหาผลประโยชน์จากกรณีการซื้อขายน้ำมันดิบของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) นั้น นายภูษณในฐานะที่เป็น กรรมการตรวจสอบต้นทุนของบริษัทในเครือ ปตท. ยืนยันว่า ไม่มีกรณีการหาประโยชน์จากค่านายหน้าการซื้อขายน้ำมันดิบแน่นอน
       
       "ผมเป็นกรรมการตรวจสอบต้นทุน และเชี่ยวชาญการซื้อขายน้ำมันดิบ เป็นคณะกรรมการกลาง ไม่ได้ขึ้นกับฝ่ายจัดการ และรายงานผลตรวจสอบต่อคณะกรรมการบริษัท ปตท.โดยตรง ผลตรวจสอบย้อนหลัง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่พบสิ่งผิดปกติ"
       
       นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะกรรมการ ปตท. กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า ตนอยู่เบื้องหลังการผลักดันให้ปลดนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดทางให้คนของนักการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และรู้สึกเสียใจต่อข่าวดังกล่าว ซึ่งผู้สื่อข่าวน่าจะมีจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าว และควรรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ตีพิมพ์
       
       "เนื้อข่าวที่เขียนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผม จึงอยากขอความเป็นธรรมบ้าง แต่จะไม่ฟ้องร้อง ไม่โกรธ และขออโหสิกรรมให้ ที่ผ่านมาผมได้ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว จึงคิดว่าถ้าจะให้อภัยกันได้ก็จะให้ และเห็นว่าเป็นหน้าที่ของนายประเสริฐที่ต้องออกมาปกป้ององค์กร และแก้ข่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งสื่อต้องมีจรรยาบรรณ อย่าคิดว่ามีปากกาจะเขียนให้ใครเสียหายอย่างไรก็ได้ ขอย้ำว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีมูลความจริง จึงเป็นไปได้ว่าผู้ที่เขียนอาจต้องไปพบจิตแพทย์"
       
       สำหรับราคาน้ำมันภายในประเทศ วันนี้ ปตท. และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) พร้อมใจปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 60 สตางค์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ปรับลง 30 สตางค์ต่อลิตร ส่วนคาลเท็กซ์ ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินลง 40 สตางค์ต่อลิตร
       
       ทั้งนี้ ราคาน้ำมันในสถานีบริการเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 อยู่ที่ 21.92 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ อี20 อยู่ที่ 33.54 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 36.94 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 34.44 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 อยู่ที่ 41.84 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซล คงเดิมที่ 29.99 บาทต่อลิตร

ผู้บริหาร ปตท. กับข่าวโยกย้าย กลางปี 54 กับเหตุท่อแตกกลางทะเล เชื่อมโยงกันหรือไม่

ปตท.โต้ใบสั่งการเมืองโยกใหญ่ผู้บริหาร "ณอคุณ" จี้ "บิ๊กไฝ" ป้องชื่อเสียง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์24 มิถุนายน 2554 13:33 น.
บอร์ด ปตท. โต้ข่าวโยกย้ายผู้บริหารระดับสูง บ.ในเครือ เพื่อตอบสนองการเมือง ต่อท่อน้ำเลี้ยงช่วยผู้สมัคร ส.ส. ยันที่ประชุมฯ วันนี้ ไม่มีวาระดังกล่าว "ณอคุณ" ผวาทำองค์กรมัวหมอง จี้ "บิ๊กไฝ" ออกมาปกป้องชื่อเสียง หลังไอ้โม่งป้ายสี อ้างมีใบสั่งโยก "สุรงค์ ไทยออยล์" เสียบตำแหน่งจัดซื้อน้ำมัน ตามโควตา 10% ตามที่ได้แบ่งเค้กเอาไว้




       
       นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน และกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดแผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท. เมื่อช่วงเช้านี้ โดยระบุว่า วาระการพิจารณาวันนี้ไม่มีเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือตามที่เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์เช้าวันนี้ เนื่องจากบอร์ด ปตท.เห็นว่า ควรจะรอให้นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งได้รับคัดเลือกให้มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. แทนนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ได้เซ็นสัญญาว่าจ้างเสียก่อน และต้องการให้นายไพรินทร์ ได้เข้ามาตัดสินใจเรื่องดังกล่าวด้วย
       
       "ช่วงนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมีการพิจารณาโยกย้ายแต่งตั้งภายในเครือ ปตท. แต่ปกติจะมีการพิจารณาในช่วงเดือน สิงหาคม-กันยายน ของทุกปี และอยากเรียกร้องให้นายประเสริฐ ออกมาแสดงท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบริษัท หลังจากมีรายงานข่าวว่า นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงการบริหารงานของ ปตท."
       
       โดยกระแสข่าวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ระบุว่า บอร์ด ปตท.จะมีการโยกย้ายนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของ ปตท. แทนนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ที่จะได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทในเครือ และจะดันรองกรรมการอำนวยการด้านโรงกลั่น ไทยออยล์ ชึ้นมาแทนตำแหน่งของนายสุรงค์
       
       อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากผู้บริหาร ไทยออยล์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบกระแสข่าวเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่า ไทยออยล์เป็นบริษัทมหาชนจำเป็นต้องมีขั้นตอนและกระบวนการในการคัดเลือกและสรรหา จึงไม่น่าที่จะเป็นไปได้ว่าจะมีการโยกย้ายภายในวันนี้
       
       "บริษัทเอกชนต้องมีขั้นตอนในการแต่งตั้ง มีคณะกรรมการสรรหา ส่วนเรื่องนี้จะเข้าบอร์ด ปตท.หรือไม่ โดยส่วนตัวไม่ทราบ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ก็ยังไม่ทราบเรื่องการโยกย้ายดังกล่าว"
       
       รายงานข่าวเพิ่มเติมแจ้งว่า ที่ประชุมบอร์ด ปตท. วันนี้ มีมติเห็นชอบให้ นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR ทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ใน บริษัท ปตท.โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปตท. จากการควบรวมกิจการระหว่าง PTTAR และบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH สำหรับวาระการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ของบริษัทในเครือ ปตท.ตามที่มีกระแสข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์เช้านี้ ยังไม่มี
       
       สำหรับการประชุมบอร์ด ปตท. ที่มีกระแสข่าวออกมาเช้าวันนี้ ระบุว่า นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รักษาการประธานบอร์ด มีกำหนดนัดประชุมฯ เพื่อพิจารณาวาระสำคัญหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก คือ เรื่องการแต่งตั้งนายนริศ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานบอร์ด หลังจากรักษาการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้การควบคุมการคัดสรรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ปตท.คนใหม่ แทนนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ
       
       สำหรับวาระที่ 2 ได้แก่ การเปลี่ยนกรรมการบอร์ดจากนายภูษณ ปรีมาโนชย์ ซึ่งถูกส่งเข้าไปในโควตาของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ผู้อยู่เบื้องหลังการกำกับดูแลกระทรวงพลังงานตัวจริง ไปเป็นบุคคลอื่นที่ฝ่ายการเมืองจะส่งเข้าไปสลับตัว
       
       และวาระที่ 3 คือ การเสนอให้บอร์ดอนุมัติการโยกย้ายนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไทยออยล์ มาดำรงตำแหน่งแทนนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. ซึ่งจะถูกสั่งย้ายออกจากตำแหน่งไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) สลับเก้าอี้กันกับนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ซึ่งได้รับการคัดสรรให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ปตท.
       
       ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการตัดสินใจเสนอให้โยกย้ายนายสุรงค์ออกจากไทยออยล์ดังกล่าวนั้น นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้แจ้งให้ นายสุรงค์สละเก้าอี้ที่นั่งอยู่ที่ไทยออยล์เพื่อให้นายชัยวัฒน์ ดำรงมงคลกุล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ขึ้นทำหน้าที่แทน แม้นายสุรงค์จะเพิ่งดำรงตำแหน่งนี้ เพียงแค่ 2 ปี ยังไม่ครบวาระก็ตาม แต่นายณอคุณได้อ้างว่า กรณีดังกล่าวเป็นใบสั่งจากนักการเมืองมา ทำให้นายสุรงค์ถึงกับอึ้ง และอยู่ระหว่างการหารือด่วนกับนายประเสริฐ กระนั้นก็ตาม ฝ่ายการเมืองได้สั่งการในทันทีให้มีการประชุมบอร์ด ปตท. เพื่อพิจารณาวาระนี้เป็นการเร่งด่วน
       
       รายงานข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ยังระบุด้วยว่า นายสุรงค์ถูกคำสั่งให้ย้ายกลับไปยัง ปตท. ก็เพื่อเปิดทางให้นายชัยวัฒน์ มือซื้อขายน้ำมันดิบของไทยออยล์ ซึ่งเป็นลูกน้องเก่าของนายสมเกียรติ หัตถโกศล ที่นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานบอร์ดไทย ออยล์ เคยพยายามผลักดันให้ขึ้นไปทำหน้าที่เป็นประธานเจ้าหน้าที่ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ไทยออยล์ แต่นายประเสริฐไม่เห็นด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารบางคนแม้จะเกษียณอายุจากไทยออยล์ไปแล้ว แต่กลับไปตั้งบริษัทตัวกลางเพื่อรับซื้อขายน้ำมันดิบเสียเอง ขณะที่อีกด้านมีผู้ใกล้ชิดนักการเมืองรับตัดตอนเป็นผู้จัดหาน้ำมันดิบป้อนโรงกลั่นในเครือ และน้ำมันสำเร็จรูปส่งออกไปต่างประเทศด้วย โดยโรงกลั่นไทยออยล์มีกำลังผลิต 280,000 บาร์เรลต่อวัน จะต้องซื้อน้ำมันดิบ 8.4 ล้านบาร์เรลต่อเดือน
       
       หากคำนวนราคาตลาดดูไบที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไทยออยล์ต้องจ่ายค่าซื้อน้ำมันสูงถึง 1,008 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 30,240 ล้านบาท (30บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) หากมีการคิดค่านายหน้าในแต่ละครั้งเพียง 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็จะมีผู้ได้เงินค่านายหน้าถึง 252 ล้านบาทต่อเดือน การโยกย้ายที่เร่งด่วนดังกล่าวจึงถูกจับตาดูว่า อาจจะเอื้อต่อการต่อท่อน้ำเลี้ยงเพื่อการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสำคัญนั่นเอง


“ณอคุณ” ระบุยังไม่ต้องรีบโยกย้ายผู้บริหาร ปตท.

**** http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/228501.html
กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. - นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รู้สึกเสียใจต่อกรณีที่มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องการโยกย้ายผู้บริหาร ปตท. เพราะไม่ใช่เรื่องจริง ตนไม่ได้สั่งให้โยกย้ายใคร ซึ่งผู้เขียนข่าวน่าจะมีจรรยาบรรณในการนำเสนอ และควรออกมารับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เขียนลงไป

“ทำไมต้องเร่งหารือการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการกำหนดการในการโยกย้ายจะเกิดในเดือน ต.ค. มีการหารือในเดือนสิงหาคมก็ทัน ซึ่งเนื้อหาที่เขียนเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผม และมองว่านายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ.ปตท. ต้องออกมาปกป้ององค์กรและแก้ข่าว  ผมขอความเป็นธรรมให้ผมบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่โกรธ ผมขออโหสิกรรมให้”  นายณอคุณ กล่าว

นายประเสริฐ  กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. วันนี้ได้อนุมัติเงื่อนไงการว่าจ้าง นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. คนใหม่ ซึ่งจะมีวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2554 ถึง วันที่ 9 กันยายน 2558  และไม่มีการโยกย้ายบุคคลอื่นตามข่าว  เช่น กรณี นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) มาแทนนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ปตท. ซึ่งจะถูกโยกย้ายไปเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี

นายประเสริฐ กล่าวยอมรับว่า ในปีนี้จะต้องมีการโยกย้ายผู้บริหาร ปตท. ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง เช่น ตำแหน่งของ นายปรัชญา  ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการปิโตรเลียมขั้นปลาย ที่จะเกษียณอายุในปีนี้ และตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไออาร์พีซี รวมทั้งตำแหน่งอื่น ๆ อีก แต่การโยกย้ายของ ปตท.จะเป็นไปตามความเหมาะสม และเป็นอำนาจของผู้บริหารที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการซึ่งหากตั้งในช่วงที่ตนเองยังไม่หมดวาระ จะเป็นคนเสนอแต่งตั้ง แต่หากอยู่ในช่วงที่หมดวาระแล้ว นายไพรินทร์ ก็จะเป็นคนพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้าย

นอกจากนี้ ปตท.ยังอยู่ระหว่างจัดทำแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ ปตท.กำหนดเอาไว้ในอนาคตจะเป็นบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการหารือกับคณะกรรมการเพื่อกำหนดทิศทางองค์กรเดือนกรกฎาคมนี้ และจะมีการเสนอแผนให้คณะกรรมการอนุมัติในเดือนธันวาคมนี้ โดยในแผนจะให้บริษัทในเครือทั้งหมดไปศึกษาและลงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณลงทุน การตั้งเป้ายอดขาย ค่าใช้จ่ายการดำเนินการ และการใช้เงินกู้ทั้งหมด

ทั้งนี้ คณะกรรมการ ปตท. วันนี้ (24 มิ.ย.) มีมติอนุมัติให้ปรับลดเงินลงทุน สำหรับการลงทุนในปี 2554 ประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาท จากเดิมในปีนี้งบลงทุนอยู่ที่ 95,809 ล้านบาท เหลือ 77,536 ล้านบาท เนื่องจากบางโครงการที่ต้องลงทุนในปีนี้ล่าช้าออกไป โดยเฉพาะโครงการลงทุนในต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้า ถ่านหิน สำหรับงบประมาณการลงทุนในปีนี้ที่ปรับลดลง จะนำไปรวมในงบลงทุนปีหน้า ทำให้เงินลงทุนในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นจาก 75,544 ล้านบาท เป็น 94,091 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนที่ล่าช้าออกไป เกิดจากขั้นตอนในการลงทุนที่มีรายละเอียดมาก แต่ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการดำเนินงาน และไม่ได้มีการยกเลิกโครงการลงทุน แต่จะไปลงทุนในปีหน้าแทน

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ปตท. ยังได้มีการหารือการตั้งชื่อบริษัทใหม่ ที่ควบรวมระหว่าง บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH กับ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR ในเบื้องต้นได้ชื่อ บริษัท ปตท.โกลบอล เคมิคอล (PTT Global Chemical : PTTGC). -สำนักข่าวไทย


“พลังงาน” นัดถกท่อก๊าซ ปตท.รั่วในอ่าวไทย ยัน “เอ็นจีวี-ไฟฟ้า” ไม่ขาดแคลน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์26 มิถุนายน 2554 22:10 น.
พลังงาน” นัดถกด่วน! ท่อก๊าซ ปตท.รั่วในอ่าวไทย พร้อมตั้งวอร์รูมเกาะติดสถานการณ์ ผลสอบเบื้องต้น พบว่า เกิดจาก บ.เอกชน วางสมอเรือพลาด ทำก๊าซหายไปจากระบบ วันละ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุต ยันเชื้อเพลิง “เอ็นจีวี” ไม่ขาดแคลน ขณะที่ กฟผ.ปรับใช้น้ำมันเตาแทนก๊าซ มั่นใจไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้า
      
       นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาท่อก๊าซรั่วในอ่าวไทย โดยระบุว่า ตนเองได้นัดประชุมคณะกรรมการบริหารเชื้อเพลิงเป็นการด่วน ในวันที่ 27 มิถุนายน 2554 (พรุ่งนี้) เพื่อติดตามและบริหารเชื้อเพลิงหลังจากเกิดปัญหาท่อก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รั่วตั้งแต่เย็นวานนี้ (25 มิ.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.
      
       นายณอคุณ กล่าวว่า ทาง ปตท.ได้แจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวให้ทราบ และตนได้สั่งการให้เร่งแก้ปัญหา ซึ่งทาง ปตท.ได้ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์และแก้ไขโดยทันที มีการประสานงานกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการจัดส่งเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า ทดแทนก๊าซที่หายไปจากระบบ
      
       “เรื่องนี้อยู่ในแผนภาวะฉุกเฉินที่กระทรวงพลังงานดำเนินการอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา จึงไม่มีผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้า ไฟฟ้าไม่ขาดแคลน”
      
       ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวเสริมว่า ตนเองได้รับรายงานเบื้องต้น ยืนยันว่า ปริมาณก๊าซที่หายไปจากระบบ ไม่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ขาดแคลน และมีการจำหน่ายตามปรกติได้แน่นอน ต่างจากกรณีเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีการหยุดส่งแหล่งก๊าซจากพม่า เพราะปัญหามรสุมในทะเล ส่วนต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น ในเรื่องนี้ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) จะพิจารณา
      
       ทั้งนี้ ปตท.ได้ออกแถลงการณ์ว่า ก๊าซจะหายจากเหตุการณ์ ท่อในอ่าวไทยรั่ว ประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน อย่างไรก็ตาม นายพิบูลย์ บัวแช่ม ผู้ช่วยผู้ว่าการควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) กล่าวว่า ปตท.ได้แจ้งปริมาณก๊าซที่ส่งให้จะมีปริมาณลดลง 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งทาง กฟผ.ได้เปลี่ยนเชื้อเพลิง ในโรงไฟฟ้าบางปะกง 3 โรง เรียบร้อยแล้ว โดยใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน พร้อมยืนยันว่า ปัญหาดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้า
       




       นายวิชัย พรกีรติวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า เหตุการณ์ท่อส่งก๊าซธรรมชาติรั่ว กิโลเมตรที่ 81 จากแท่นขุดเจาะ (ห่างจากจุดท่อก๊าซขึ้นที่ชายฝั่งทะเลระยอง ประมาณ 325 กิโลเมตร) เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า จุดที่ก๊าซ รั่ว คือ บริเวณท่อก๊าซที่ต่อเชื่อมระหว่างท่อประธานในทะเลขนาด 34 นิ้ว (ท่อเส้นที่ 1) กับท่อย่อย (24 นิ้ว) ที่ส่งก๊าซมาจากแหล่งปลาทอง
      
       โดยเช้าวันนี้ (26 มิ.ย.) ปตท.ได้ส่งอุปกรณ์สำรวจใต้น้ำ ROV (Remotely Operated Vehicle) ลงไปตรวจสอบ เพื่อจะนำข้อมูลมาประเมินและเร่งดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เบื้องต้น ปตท. จึงมีความจำเป็นต้องหยุดส่งก๊าซธรรมชาติ ผ่านท่อประธานเส้นดังกล่าวเป็นการชั่วคราว และอยู่ระหว่างการประเมินระยะเวลาในการดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม
      
       ทั้งนี้ ผลกระทบจากเหตุดังกล่าว ทำให้ความสามารถในการส่งก๊าซธรรมชาติมีปริมาณลดลงประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งกระทบต่อการส่งก๊าซธรรมชาติให้แก่ กฟผ.และโรงแยกก๊าซธรรมชาติ โดยทาง ปตท.อยู่ระหว่างการจัดหาน้ำมันเตาปริมาณ 30 ล้านลิตร ให้กับโรงไฟฟ้าพร้อมทั้งมีแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) รวมทั้งจัดหาก๊าซจากแหล่งอื่นๆ เข้ามาเสริม ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ
      
       รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ปตท.ยืนยันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในทะเล ทั้งสิ่งมีชีวิต คุณภาพน้ำทะเล และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ไม่ละลายน้ำ และไม่มีสิ่งเจือปนอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปตท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
      
       ขณะเดียวกัน กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุ สาเหตุเบื้องต้นของท่อก๊าซธรรมชาติรั่วเกิดจากอุบัติเหตุจากการวางสมอเรือของบริษัทที่ได้รับการประมูลโครงการสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งให้กับ ปตท.พร้อมเร่งดึงก๊าซจากแหล่งเจดีเอและเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซจากแหล่งสิริกิติ์เข้ามาเสริมระบบผลิตไฟฟ้า
      
       ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เข้าไปตรวจสอบสาเหตุเบื้องต้นของเหตุการณ์ท่อก๊าซธรรมชาติรั่วที่บริเวณอ่าวไทย พบว่า สาเหตุที่ท่อก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 1 ของบริษัท ปตท.รั่ว เกิดจาก บริษัท อุตสาหกรรมฮุนไดเฮฟวี่ อินดัสตรี ของเกาหลีใต้ บริษัทต่อเรือขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และได้รับการประมูลโครงการสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งให้กับ ปตท.ในการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตก๊าซปลาทอง 2 ไปยังท่อเส้นที่ 3 เกิดอุบัติเหตุจากการวางสมอเรือ
      
       โดยเมื่อเวลา 01.30 ของวันที่ 26 มิถุนายน 2554 ท่อส่งก๊าซเส้นที่ 1 ได้หยุดการส่งก๊าซผ่านท่อดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งการส่งก๊าซธรรมชาติผ่านระบบท่อส่งในอ่าวไทยรวม 2,666 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เมื่อเทียบปริมาณการส่งผ่านท่อทั้ง 3 เส้นอยู่ที่ 3,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ที่เป็นค่าเฉลี่ยปกติ พบว่า ก๊าซจากอ่าวไทยหายไปจากระบบรวม 734 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
      
       ดังนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จึงได้ดำเนินการสลับการส่งก๊าซจากท่อส่งก๊าซเส้นที่ 1 ไปยังท่อส่งก๊าซเส้นที่ 2 ปริมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมทั้งมีคำสั่งให้ ปตท.ดำเนินการหาบริเวณที่เกิดความเสียหายด้วยเครื่องสำรวจใต้น้ำ และดำเนินการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
      
       นอกจากนี้ ยังได้มีการเตรียมการสำรองการจ่ายก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ) เพื่อทดแทนปริมาณที่ขาดหายไปจากระบบ โดยส่งผ่านท่อส่งก๊าซเส้นที่ 3 ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์จาก ปตท.และยังได้มีการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติบนบก เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแหล่งสิริกิติ์ปริมาณ 20 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แหล่งพลังงานในอ่าวไทย - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ระหัตร โรจนประดิษฐ


(ลองอ่านดูครับ-ช่วงนี้ข้อมูลอะไรๆ มันออกมาเยอะ)
จาก http://www.navy.mi.th/navic/document/911107b.html

มีการวิเคราะห์ว่าแหล่งพลังงานหลักของโลก โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันตะวันออก กลางจะหมดไปในระยะเวลา 30-50 ปีเท่านั้น นับว่าเวลาสั้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับกระบวน การธรรมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวให้เกิดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเกิดจากการใช้พลังงานอย่าง
มากมายในปัจจุบันข้อมูลนี้เป็นที่ทราบดีกันทั่วไปเหมือนกับกรณีภาวะโลกร้อนที่เป็นผลกระ
ทบอีกด้านหนึ่งของการเผาผลาญทำลายทรัพยากรพลังงานธรรมชาตินี้
            
ประเทศตะวันออกกลางดำเนินการปรับราคาและกระบวนการผลิตน้ำมัน ให้เกิด กำไรสูงสุดก่อนที่รายได้ของพวกเขาจะหมดไป ในขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศ ยุโรปสะสมน้ำมันสำรองเต็มพิกัดเพื่อป้องกันสภาวะขาดแคลนพลังงานในอนาคต กลยุทธ์ทาง การเมืองระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้นจากการแสวงหาแหล่งพลังงานของโลกเปรียบเสมือนยุค การล่าอาณานิคมใหม่โดยมีพลังงานเป็นเดิมพัน
            
ในอดีตเคยมีการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีมหาศาล จนอดีตท่าน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องกล่าวออกมาว่า “ โชติช่วงชัชวาลย์ ” แต่ในปัจจุบันประ
เทศชาติและประชาชนชาวไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง นอกจากราคาก๊าซถูกกว่าเพื่อนบ้านลิตร
ละ 2-3 บาทเท่านั้น ผลประโยชน์มหาศาลกลับไปอยู่ที่บริษัทน้ำมันต่างชาติ หรือหน่วยงานพลัง
งานบางแห่งที่มีต่างชาติเป็นผู้ดำเนินการแม้จะมีชื่อเป็นไทยก็ตาม

            มีข่าวทรัพยากรในทะเลซึ่งไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนข่าวหนึ่งกล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ได้อนุมัติสัมปทานปิโตรเลียมให้กับบริษัท นิวคอสตอล (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๔๖ ตามสัมปทานเลขที่ ๗/๒๕๔๖/๖๔ ในช่วงเวลาสัมปทาน ๑๕ ปี บริษัทนิว
คอสตอล ซึ่งได้รับสัมปทานในการขุดเจาะและผลิตน้ำมันในแหล่งบัวบาน ๑ - ๔ ซึ่งจะส่งผล กระทบกับอาชีพประมงชายฝั่งในพื้นที่ ๔ อำเภอ ( www.coastalenergy.com)  แหล่งบัว
บานคือแหล่งน้ำมันจำนวนมหาศาลห่างฝั่งจังหวัดสงขลาไม่เกิน ๓๐ กิโลเมตร ในช่วงขุดเจาะ
เวลา ๓ ปี ห้ามทำการประมง อีก ๑๒ ปี ช่วงผลิตระยะห่างจากแท่นเจาะ ๕๐๐ เมตรรัศมี ๔
แท่นเจาะกับ ๑ แท่นฐาน มีการห้ามทำการประมง ส่วนด้านสิ่งแวดล้อมนั้นกระแสน้ำที่พัดเข้า ฝั่งตั้งแต่อำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร และอำเภอเมืองสงขลาจะเป็นตัวส่งมล ภาวะต่างๆ หากเกิดอุบัติเหตุจากการขุดเจาะท่อน้ำมันรั่วหรือเรือบรรทุกน้ำมันรั่วหรือจมจะ เกิดผลกระทบมหาศาล ในขณะที่บริษัทแจ้งว่ามีทุนจดทะเบียนแค่ ๑๐๐ ล้านบาทเพียงพอต่อ ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่และไม่มีการระบุความรับผิดชอบไว้ในสัญญา (บรรจง นะแส , ๓๑ ก.ค. ๒๕๕๑)

            
ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและด้านความมั่นคงเมื่อ
เดือนที่ผ่านมาจึงทำให้ทราบข้อมูลด้านพลังงานเหล่านั้นด้วย และเมื่อได้สอบถามว่ามีการคาด การณ์หรือไม่ว่าปริมาณน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีมากน้อยเพียงใด  คำตอบคือ
ปริมาณมหาศาล ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ ชาติ มิใช่ปกปิดเหมือนกรณี  “ โชติช่วงชัชวาลย์ ”  ที่เราคิดว่าก๊าซธรรมชาติมีเพียงเล็กน้อย และ แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางอ่าวไทยของต่างชาติตั้งขึ้นโดยบังเอิญเท่านั้น

เมื่อนำมารวบรวมข้อมูลทางด้านการวิเคราะห์วิจัยแล้วก็สามารถเข้าใจถึงคำตอบ ของคำถามกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ว่าทำไมบริษัทขนส่งน้ำมันของประ เทศตะวันออกกลางเข้ามาให้ทุนวิจัยแบบให้เปล่าแก่หน่วยงานประเทศไทย (๒๐ - ๓๐ ล้าน บาท) และจะให้เงินกู้อีกแสนล้านบาทโดยไม่มีเงื่อนไข (แต่มีดอกเบี้ย) หากรัฐบาลไทยสร้าง ท่าเรือน้ำลึกแห่งอันดามันขึ้นที่ท่าเรือปากบารา เชื่อมสองทะเลที่จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลา ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของเขา 
                        ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้ได้ทำการบรรยายประสบการณ์ของประเทศตนที่ร่ำรวยจาก การขุดเจาะน้ำมันมีคุณภาพชีวิตระดับโลก และทำให้เราจินตนาการไปเองว่าการพัฒนาเมือง ระดับโลกจะเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วเมืองท่าอุตสาหกรรม และน้ำมันที่มีรายได้มหาศาลก็เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย ที่ท่าเรือบางสะพานจังหวัดประจวบ คีรีขันธ์ และท่าเรือมาบตาพุดจังหวัดระยองที่สภาพแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจินตนาการนั้น โดย ไม่ทราบว่าผลประโยชน์มหาศาลนั้นรัฐบาลและประชาชนไทยได้รับเท่าใด แต่สิ่งที่ได้รับอย่าง เต็มที่คือมลภาวะสภาพแวดล้อมระดับวิกฤติสู่ประชาชนในพื้นที่ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุน แรงกลางเมืองบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ระหว่างประชาชนและคนของผู้ประกอบการ และที่จังหวัดระยองก็ได้รับการประเมินว่าเป็นจังหวัดที่มีมลพิษมลภาวะสภาพแวดล้อมมากที่ สุดในประเทศไทยในปัจจุบันนี้

            ความเจริญและการพัฒนาทางเทคโนโลยี่นั้นอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ในอนาคต ที่จะทำให้ประเทศของเรารุดหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ แต่การที่ประเทศชาติมิได้ผล ประโยชน์ใดๆ แต่กลับต้องกู้เงินเสียงบประมาณมากมายเพื่อสร้างอภิมหาโครงการตรงตาม เป้าหมายวัตถุประสงค์ของต่างชาติ และให้ต่างชาติกอบโกยทรัพยากรอันมีค่าจากท้องทะเล ไทยกลับไป โดยทิ้งเศษเงินให้บุคคลบางกลุ่มและทิ้งมลภาวะให้กับผืนแผ่นดินของเรานั้น เป็น สิ่งที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งธรรมชาติที่งดงามประชาชนและลูกหลานที่บริสุทธิ์ในพื้นที่จังหวัดชาย ฝั่งทะเลภาคใต้ทั้งสองทะเลจะได้รับผลกระทบเหล่านี้

           หากจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมน้ำมันรายใหม่การ ควบคุมมลภาวะจะต้องอยู่ในระดับมาตรฐานโลกอย่างเข้มงวดมิใช่มาตรฐานจังหวัดระยองทุก วันนี้ประเทศชาติและประชาชนไทยจะต้องได้รับผลประโยชน์โดยตรงเหมือนประชาชนประเทศ น้ำมันหรือประเทศเจริญแล้วอื่นๆ การควบคุมกิจกรรมขุดเจาะและขนถ่ายหรือผลิตน้ำมันแปร รูปจะต้องกระทำหรือควบคุมโดยบุคลากรไทย และยังผลประโยชน์สู่องค์กรของชาติทั้งหมด

ฮับพลังงาน - ของทักษิณ ข่าวเก่าเมื่อ ปี 2547


 13 กุมภาพันธ์ 2547
หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์

การผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคหรือเรียกกันว่า ฮับพลังงาน โดยเริ่มจากศูนย์กลางการซื้อขายน้ำมันก่อน นับเป็นอีกหนึ่งอภิมหาโปรเจ็กต์ฝันของรัฐบาล
        การกดปุ่มปล่อยเรือบรรทุกน้ำมัน 4,000 ตัน เพื่อเปิดศรีราชาฮับ ศูนย์กลางค้าปิโตรเลียมของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมประกาศผ่านสื่อทั้งไทย และต่างประเทศว่าภายใน 5 ปี จะเห็นภาพความสำเร็จที่ชัดเจนของการเป็นศูนย์กลางน้ำมันในภูมิภาค
        เสมือนเป็นการตีระฆัง เริ่มต้นยกที่หนึ่ง ส่งสัญญาณจากรัฐบาลไปยังบรรดานักลงทุน บริษัทผู้ผลิตผู้ค้าน้ำมันต่างชาติให้รับรู้ว่า "นโยบายนี้ ประเทศไทยเอาจริงแน่ และพร้อมจะกัดไม่ปล่อย"
        ท่ามกลางคำถามที่ท้าทายว่า ฝันการเป็นศูนย์กลางซื้อขายน้ำมันในภูมิภาคของไทยจะทำได้จริงหรือ? เรามีความพร้อม หรือแต้มต่อพอแล้วหรือยัง ที่อาจหาญจะไป "ทุบหม้อข้าว" ประเทศสิงคโปร์ เจ้าสังเวียนเดิม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประตูน้ำมันแห่งเอเชียอยู่ในขณะนี้
        แม้เปรียบเทียบแล้ว สิงคโปร์จะมีกำลังการกลั่นน้ำมันมากกว่าไทยเพียงเล็กน้อย โดยมีความสามารถในการกลั่นได้ประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ไทยมีกำลังการกลั่น 940,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าไทยชัดเจนคือ กลไกทางกฎระเบียบและภาษีที่เอื้อต่อการทำเทรดดิ้ง เข้ามาซื้อขายน้ำมัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับทั้งท่าเรือน้ำลึก ถังเก็บน้ำมัน ฯลฯ
        จนทุกวันนี้ ครึ่งหนึ่งของเรือสินค้าที่ไปจอดเทียบท่าที่สิงคโปร์เป็นเรือขนส่งน้ำมัน เกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่รายล้อม ถูกเนรมิตให้กลายเป็นอาณาจักรคลังน้ำมันให้เช่า เอาแค่เฉพาะปริมาณการค้าน้ำมันระหว่างประเทศ (International trade) ก็มีถึง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ยังไม่รวมการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า (Paper Trade) อีกกว่า 17 ล้านบาร์เรล
        ตลาดน้ำมันจึงเป็นเสมือนขุมทองล้ำค่าของสิงคโปร์ ประเทศเล็กพริกขี้หนู ที่สั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจการค้าน้ำมันมายาวนาน โดยผันตัวเองจากเกาะเล็กๆ มาเป็นศูนย์กลางค้าน้ำมันในเอเชียอย่างเต็มตัวตั้งแต่ปี 2532 ด้วยการพัฒนาจากการเป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ในทำเลช่องแคบมะละกาสู่การขยายฐานโรงกลั่นน้ำมันเพื่อการส่งออกต่อยอดเป็นตลาดน้ำมันครบวงจร
        ปัจจุบัน มีบริษัทน้ำมันจากทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 60 บริษัท หลั่งไหลเข้ามาตั้งออฟฟิศทำธุรกิจซื้อขายน้ำมันในสิงคโปร์ รวมถึงบริษัทน้ำมันของคนไทยอย่างบริษัท ปตท. อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง ที่ไปเปิดอยู่ที่นั่นด้วย
        ประเทศไทยเราเพิ่งจะได้ฤกษ์ขยับตัวตื่นเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีการประกาศยุทธศาสตร์ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางน้ำมันในภูมิภาคอย่างจริงจังในช่วงเดือนส.ค.ปีที่แล้ว หลังจากที่นายกฯ ทักษิณ ไปนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานเวิร์กช็อปยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ
        นำมาสู่การประกาศิตสั่งการบ้านด่วนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ และภาษีให้เอื้อต่อการเข้ามาค้าขายน้ำมันผ่านไทยมากขึ้น พร้อมปลุกปั้นโครงการแลนด์บริดจ์ เส้นทางขนส่งน้ำมันเส้นใหม่ เชื่อมต่อฝั่งอ่าวไทย และอันดามันชูขึ้นมาเป็นจุดขายว่าหากสร้างเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า จะสามารถช่วยร่นระยะทางขนส่งจากตะวันออกกลางไปยังเอเชียตะวันออก ไม่ต้องอ้อมเรือไปไกลถึงช่องแคบมะละกาตัดหน้าสิงคโปร์
        อย่างไรก็ตามต้องถือว่าไทยกับสิงคโปร์ ยังเป็นมวยคู่ชกกันคนละรุ่นเพราะประเทศไทยเพิ่งกำลังอยู่ในระยะตั้งไข่หัดเดินสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าน้ำมันเรียกว่ายังห่างชั้นจากสิงคโปร์ ที่เก๋าเกม มีประสบการณ์ที่ช่ำชองกว่าที่สำคัญบริษัทน้ำมันทั่วทุกมุมโลก ล้วนไปปักหลักอยู่ที่นั่นจนหมดแล้ว
        ท่าทีของไทยที่ปรากฏสู่สากลตอนนี้ออกมาในลักษณะหลีกเลี่ยงที่จะพุ่งเข้าชนห้ำหั่นเพื่อโค่นแชมป์กับสิงคโปร์โดยตรง แต่ขอเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของตลาดน้ำมันในเอเชีย และจะเป็นการเข้ามาเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกันมากกว่า เพราะในอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคนี้จะเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า
        ขณะนี้ไทยยังเป็นแค่ช่วงเริ่มเบิกโรงด้วยการเปิดศรีราชาฮับขึ้นมาชิมลาง โดยใช้คลังน้ำมันที่มีอยู่แล้วมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ เนรมิตให้กลายเป็นเขตปลอดภาษี (ฟรีโซน) สำหรับการค้าขายน้ำมัน พร้อมอำนวยความสะดวก และผ่อนปรนกฎระเบียบ เพื่อสร้างบรรยากาศในการเข้ามาทำธุรกิจอาทิ อนุญาตให้นำน้ำมันจากหลายแหล่งมาผสมกัน และทำการส่งออกโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางภาษี อีกทั้งหั่นภาษีเงินได้นิติบุคคลบริษัทน้ำมันที่เข้ามาจดทะเบียนในไทยจากอัตราภาษี 30% ลดเหลือ 10% นอกจากนั้นยังเตรียมดึงตัวเทรดเดอร์น้ำมันต่างชาติ ที่คร่ำหวอดอยู่ในสิงคโปร์ เข้ามาเป็นกุนซือที่ปรึกษาช่วยวางกลยุทธ์กันเลยทีเดียว ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ แทบจะกลายเป็นไพ่ใบเดียวเหนือกว่า ที่เราถืออยู่ในมือขณะนี้ ด้วยพรมแดนที่อยู่ติดใกล้ชิดหลายประเทศ เอื้อต่อการเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันทั้งทางบก ทางทะเล ลำเลียงไปยังตลาดอินโดจีน และประเทศจีน และยิ่งผลการศึกษาในเบื้องต้น หากโครงการแลนด์บริดจ์แล้วเสร็จ การขนส่งน้ำมันผ่านเส้นทางดังกล่าวจะลดค่าขนส่งน้ำมันลงได้ 40 เซนต์ต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับเส้นทางที่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาของสิงคโปร์
        ก้าวต่อไปของเส้นทางฝันการเป็นศูนย์กลางน้ำมันของไทย สายตาทุกคู่จึงจับจ้องมาที่โครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่สุด เพราะหากจะสร้างตลาดซื้อขายน้ำมันในระดับภูมิภาคให้เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มปริมาณการค้าขายน้ำมันผ่านไทย
        หากดึงให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง อาทิ โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศผู้ซื้อน้ำมันในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะจีนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการได้เป็นผลสำเร็จ นั่นหมายถึงว่าไทยจะเป็นจุดศูนย์กลางเส้นทางลำเลียงน้ำมันที่ผู้ซื้อผู้ขายมาเจอกัน เมื่อถึงเวลานั้นความฝันที่จะเป็นศูนย์กลางน้ำมันในภูมิภาคอีกแห่งเทียบชั้นสิงคโปร์ก็คงไม่หนีไปไหนเสีย
        ไทยยังถือว่าใหม่อยู่มากในสายตาต่างชาติ ดังนั้น ประเทศไทยต้องเร่งปรับกติกาในหลายๆ ด้าน เพื่อสร้างบรรยากาศ และความเชื่อมั่นดึงดูดให้บริษัทน้ำมันที่ตั้งฐานทำธุรกิจในสิงคโปร์หันกลับมาทำการค้าขายน้ำมันผ่านไทยดูบ้าง คำถามสำคัญที่ทำให้ต่างชาติกำลังจดๆ จ้องๆ รอดูความชัดเจน ก่อนกล้ากระโจนเข้ามาทำการค้าขายน้ำมันผ่านไทยคือ นโยบายการเป็นฮับพลังงานของไทย รัฐบาลเอาจริงรึเปล่า เอาจริงแค่ไหน และเป้าหมายการเป็นฮับนี้เพื่อใคร เหล่านี้เป็นคำถามท้าทายที่รัฐบาลต้องเร่งไขคำตอบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบรรดาบริษัทเทรดเดอร์น้ำมันข้ามชาติ ที่เริ่มจะเข้ามา "ทดลอง" ซื้อขายน้ำมันในเขตฟรีโซน ตามคำเชิญชวนของไทย พร้อมรอการพิสูจน์ว่า ความพร้อมในการก้าวเป็นศูนย์กลางค้าน้ำมันของไทยภายใต้การนำของรัฐบาลทักษิณ

***** โครงการจัดตั้งศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมที่ศรีราชา หรือ Sriracha Hub                   ศูนย์กลางการค้าน้ำมันที่ศรีราชาเป็นโครงการที่เริ่มต้นของศูนย์กลางการค้าน้ำมันของ ไทยและจะช่วยสนับสนุนการดำเนินโครงการเส้นทางยุทธศาสตร์พลังงาน       ซึ่งพันตำรวจโท

ทักษิณ  ชินวัตร   นายกรัฐมนตรี   ได้ไปเป็นประธานเปิดศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมแห่งประ
เทศไทย ( Thailand  Petroleum Trading  Centre )   ณ ท่าขนถ่ายน้ำมันเขาบ่อยา อำเภอศรีราชา  จังหวัดชลบุรี    เมื่อวันที่  ๒๙  มกราคม  ๒๕๔๒   โครงการจัดตั้งศูนย์กลาง
การค้าปิโตรเลียมที่ศรีราชามีการกำหนดพื้นที่ปลอดภาษีอากร( Tax Free  Zone ) หรือพื้นที่
ยกเว้นภาษีสรรพาสามิต   อากรศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าที่ส่งไปในพื้นที่นั้นและ
สินค้าที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร    รวมทั้งได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับ  เครื่องจักร
อุปกรณ์  เครื่องมือ   และเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้ในเขตปลอดอากรนั้นโดยปรับ และแก้กฎ หมายที่เกี่ยวข้อง    เพื่อจูงใจลูกค้ารวมถึงให้ผู้ประกอบการสามารถผสมน้ำมัน    ( OilBlen
ding ) ตามคุณลักษณะต่างๆเพื่อส่งออกตามความต้องการของตลาดและจัดตั้งศูนย์  TPTP Service Centre หรือ TPTC  (Thailand Petroleum Trading Centre)   เพื่ออำนวย ความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันพร้อมกับปรับปรุงคลังน้ำมันที่เกาะสีชัง     เพื่อรองรับ
เรือบรรทุกน้ำมันขนาด  ๓๕๐,๐๐๐  ตันได้   และทำการวางท่อน้ำมันจากฝั่งตะวันตกของ เกาะมาฝั่งตะวันออกและต่อข้ามไปโรงกลั่นที่ศรีราชา โดยท่อจากเกาะสีชังจะถูกต่อขึ้นไปถึง โรงกลั่น และใช้คลังน้ำมันที่ศรีราชาเป็นจุดจ่ายผลิตภัณฑ์และมีการดำเนินการต่อท่อจากโรง กลั่นพันธ มิตร  (เชลล์และคาลเท็กซ์) ที่จังหวัดระยองไปยังศรีราชา
โครงการวางท่อส่งน้ำมันเชื่อมระหว่างฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยกับฝั่งทะเลด้านอันดามัน ( Strategic Energy Landbridge : SELB ) 
       รัฐบาลได้กำหนดโครงการ SELB ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ในการจัดหาและสำรองน้ำมัน     เพิ่มทางเลือกเส้นทางการขนส่งน้ำมันแทนช่องแคบมะละกา พัฒนาตลาดน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเลียมต่อเนื่องของภูมิภาค  และกระตุ้นเศรษฐกิจของ ประเทศและพื้นที่ภาคใต้ ด้วยการวางท่อน้ำมันขนาด ๑.๕ ล้านบาร์เรล/วัน เส้นผ่าศูนย์กลาง ๔๘ นิ้ว จาก อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงาไปยังอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะทางประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตร และมีคลังน้ำมันทั้งสองฝั่งซึ่งมีความจุ ๑๖ ล้านบาร์เรล/วัน พร้อมกับมีทุ่นรับ - จ่ายน้ำมันทั้งสองฝั่ง โดยฝั่งทะเลอันดามันสามารถรับเรือขนาด ๓๐๐,๐๐๐ - ๔๕๐,๐๐๐ ตัน ได้ ฝั่งอ่าวไทยสามารถรับเรือขนาด ๑๐๐,๐๐๐ - ๓๐๐,๐๐๐ ตัน ได้ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากโครงการซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งโครงการ  ๘๘๐  ล้านดอล
ลาร์สหรัฐฯ โดยฝั่งทะเลอันดามันซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและมีความอ่อนไหว ต่อสิ่งแวดล้อมได้กำหนดให้มีกิจกรรมเกี่ยวกับน้ำมันและอุตสาหกรรมต่อเนื่องน้อยที่สุดโดย มี ีเฉพาะทุ่นขนถ่ายน้ำมันระบบท่อส่งน้ำมัน  (ฝังใต้ทะเลและพื้นดิน) และถังเก็บน้ำมันเท่าที่จำ เป็น สำหรับฝั่งอ่าวไทยจะมีทุ่นขนถ่ายน้ำมัน ระบบท่อส่งน้ำมัน (ฝังใต้ทะเลและพื้นดิน) โรงกลั่นน้ำมันอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และถังเก็บสำรองน้ำมันซึ่งโครงการนี้สามารถย่นระยะทาง ขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบมะละกาได้ ๘๐๐ กิโลเมตร   หรือผ่านช่องแคบลอมบอกได้ ๒,๘๐๐  กิโลเมตร   ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นคงในการขนส่งน้ำมันด้วยเรือขนาดใหญ่จากตะวันออก กลางสู่เอเชียตะวันออกความสำเร็จของ  โครงการขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านความ มั่นคงพลังงานระหว่าง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย เป็นหลักโดยเฉพาะการใช้  SELB   เป็น แหล่งสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน      ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของราคาน้ำมันลดค่า ASIAN Premium และลดความเสี่ยงด้านการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา 
***** 6 ปีรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ผุด “46 ฮับ” มูลค่า 1.3ล้านล้าน คนใกล้ชิด...รวยเละ!


• ถึงวันนี้น่าจะสรุปได้ว่า นายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นจอมโปรเจกต์ ตัวจริง 
• นอกจากจะผุดนโยบายประชานิยม โกยคะแนนเสียงไปแล้ว... ยังประกาศผลักดันให้ไทยเป็นสารพัด “ฮับ” แห่งเอเชีย 
• ที่น่าแปลกแต่จริง 6 ปีของรัฐบาลชุดนี้ จะมีฮับเกิดขึ้นถึง “46 ฮับ” มูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท 
แต่ละฮับที่เกิดขึ้น มีมูลเหตุจูงใจอะไร และใครจะได้ประโยชน์บ้าง เช่น ฮับการบิน ฮับสุขภาพ ฮับไอซีที ฮับลอจิสติกส์ ฮับอิเล็กทรอนิคส์ ฮับยานยนต์ ฮับพลังงาน เป็นต้น 

นายกฯทักษิณ ชินวัตร อาจจะไม่ต้องถูกตั้งข้อสังเกตและถูกกดดันให้ตอบคำถามครั้งแล้ว ครั้งเล่าในเรื่องเดิม คือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” หากนโยบายที่ประกาศออกมาจะไม่มีคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งชื่อของนายกฯทักษิณ โดดเด่นและเข้าไปเกี่ยวพันกับโครงการต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับกลายเป็นว่า บรรดาเครือญาติและผองเพื่อนที่ใกล้ชิดกับนายกฯ และคนในรัฐบาล ล้วนได้รับโอกาสทองคว้า “ชิ้นปลามัน” จากเอกชนรายอื่นไปโดยสะดวกอย่างไม่ปกติ ..! 

หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ก้าวเข้ามาบริหารประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ในปี 2544 เป็นต้นมา ต้องยอมรับว่านโยบายของรัฐบาลในการดันประเทศไทยให้เป็นฮับ หรือ ศูนย์กลางของเอเชีย ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงจากหลายภาคส่วนของรัฐบาลนับครั้งไม่ถ้วน จนบัดนี้ที่อายุของรัฐบาลก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 ในปี 2549 ที่กำลังจะถึง รัฐบาลได้ประกาศที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฮับต่างๆ ของเอเชียไปแล้วประมาณ 46 ฮับ 

อันตราย! รัฐถังแตกส่อฮับล่ม 
ในบรรดา 46 ฮับที่รัฐบาลประกาศไปแล้วว่าจะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้นี้ นายกรัฐมนตรี ได้บอกกับสาธารณชนได้รับรู้ถึงวัตถุประสงค์ว่า ต้องการที่จะทำให้ไทยเป็นประตูสู่เอเชีย โดยการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในด้านต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้จากการผลิตวัตถุดิบป้อนอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้มีเงินไหลเวียนในประเทศ ดันจีดีพีของประเทศให้สูงขึ้น 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของรากหญ้าก็จะเข้าสูตร “เงินกำลังจะหมุนไป” ทำให้หลายๆ คนคิดตามแล้วจะเห็นภาพเงินปลิวว่อนทั่วประเทศเต็มไปหมด ส่งผลให้คนทั่วประเทศพากันฝันหวาน แต่คำถามก็คือว่าจริงๆ แล้วไทยมีความพร้อมแค่ไหนที่จะเป็นสารพัดฮับในเอเชียตามที่รัฐบาลอยากจะให้เป็น 

ในเมื่อแต่ละฮับนั้นเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจากภาครัฐจำนวนมาก จากที่คำนวณคร่าวๆ 46 ฮับนี้ต้องใช้งบประมาณในส่วนที่เปิดเผยกว่า 1.3 ล้านล้านบาท ขณะที่กระแส “ถังแตก” ของรัฐบาลมาแรงแบบฉุดแทบไม่อยู่ และอันตรายที่นักการเงินมองเห็น คือประเด็นที่เงินงบคงคลังในการบริหารของรัฐบาลนี้ เหลือน้อยกว่าเงินงบประมาณที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน 

คำถามก็คือ...เงินที่จะได้รับกลับมาหลังจากรัฐบาลไทยเดินหน้าโครงการสารพัดฮับแบบแทบไม่เหลือเก็บเช่นนี้ ผลที่ได้รับกลับมา จะคุ้มสักแค่ไหน? 

3 เหตุจูงใจ-รัฐดันไทยฮับเอเชีย 
การประกาศเป็น “ฮับ” สารพัดฮับของรัฐบาลครั้งนี้ ได้ทำให้บรรดาคอการเมือง และนักวิชาการที่เฝ้าติดตามนโยบายและการทำงานของรัฐบาลได้วิเคราะห์มูลเหตุจูงใจของการผลัดกัน “ฮับ” ให้กับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่าน่าจะมาจากเหตุและผล 3 ประการ คือ 

1.เพื่อผลตอบแทนทางธุรกิจของคนในแวดวงการเมือง 
2.เพื่อผลตอบแทนทางการเมือง (พรรคการเมือง) 
3.ความคุ้มค่าของโครงการที่ส่งถึงภาคประชาชนโดยรวม และทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต รวมถึงความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก 

ดังนั้น ด้วยมูลเหตุทั้ง 3 ประการนี้ ความสำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญในเหตุจูงใจใดมากกว่ากัน 

อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐจะประกาศว่าในทุกฮับที่เร่งผลักดันนี้เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ที่จะส่งอานิสงส์ต่อการแก้ปัญหาความยากจน แต่กลับพบว่าหลายฮับกลับกลายเป็นฮับที่มีวาระซ่อนเร้น ทั้งเพื่อผลทางการเมืองที่จะออกมาในรูปของคะแนนเสียงเลือกตั้ง และผลประโยชน์ของคนเพียงกลุ่มเดียว ท้ายที่สุดแม้จะดึงเงินจากต่างชาติเข้ามาได้ ประชาชนระดับรากหญ้าก็จะเป็นส่วนที่เงินหมุนไปช้าที่สุด 

ธุรกิจครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวของตระกูลชินวัตร นับเป็นครอบครัวแรกที่หลายฝ่ายจับตามอง ว่าแท้จริงแล้ว สารพัดฮับที่เกิดขึ้นไปรองรับผลประโยชน์ทางธุรกิจของครอบครัวหรือไม่? 

โดยครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจหลักไปที่ธุรกิจโทรคมนาคม ได้แก่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟเซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่เป็นธุรกิจอู่ข้าวอู่น้ำ และมีบริษัทในเครืออีก 19 บริษัท มีตั้งแต่ธุรกิจมือถือ ธุรกิจการสื่อสารไร้สาย ธุรกิจดาวเทียม (ไอพีสตาร์) อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ สื่อสารมวลชน(ไอทีวี) เงินกู้ (แคปติตอล โอเค) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (เอสซี แอสเซท) สายการบินต้นทุนต่ำ (ไทยแอร์เอเชีย) และยังรุกคืบเข้าสู่ธุรกิจโรงพยาบาลทั้งในรูปของนอมินี และถือหุ้นโดยนายหญิงจากบ้านจันทร์ส่องหล้าอาทิ โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลพระรามเก้า (นายหญิงขอมีเอี่ยว Medical Hub!) 

ฮับเชียงใหม่เวิลด์ ดูดคะแนนเสียงท่วมท้น 
ขณะที่ ฮับเชียงใหม่ ในโครงการเชียงใหม่เวิลด์ที่จะใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่จำนวน 10,740 ล้านบาท ก็เป็นอีกฮับหนึ่งที่ใช้งบส่วนกลางมาทุ่มพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเอเชีย 

โครงการนี้จะมีโครงการสำคัญๆหลายโครงการ และจะมีการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ไว้ด้วยการเดินทางด้วยกระเช้าไฟฟ้า ประกอบด้วยโครงการเชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี โครงการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ และศูนย์ SMEs โครงการตลาดกลางสินค้าเกษตรภาคเหนือ โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่เป็นฮับการบินในภูมิภาค โครงการพัฒนาสภาพ และภูมิทัศน์น้ำตกห้วยแก้ว 

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาปรับปรุงลำน้ำแม่ข่า โครงการแก้ไขปัญหาขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ โดยได้งบ 62 ล้านบาท ทำระบบรถโดยสารมินิบัสปรับอากาศ และกำลังของบอีก 145 ล้านบาท ศึกษาทำแผนแม่บทโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาพื้นที่สูงอำเภออมก๋อย โครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ฝั่งตะวันตกและใต้ของเมือง 

อีกทั้งยังมีโครงการสาธารณูปโภคอีกหลายรายการ ได้แก่ การก่อสร้างโรงงานกำจัดขยะในเขตเชียงใหม่ การพัฒนาโครงข่ายถนนในเชียงใหม่ การสร้างถนนเลียบทางรถไฟเชียงใหม่-ลำพูน การปรับปรุงถนนหน้าสนามบินเชียงใหม่ 4 ล้านบาท การวางท่อร้อยสายไฟฟ้าและสาธารณูปโภคใต้ดินในเขตเทศบาล ปรับปรุงภูมิทัศน์เมือง พัฒนาถนนวัฒนธรรมเชียงใหม่-สันกำแพง และพัฒนาวัดต่างๆ 

โครงการเชียงใหม่เวิลด์นี้ นับว่าเป็นฮับที่จะส่งผลทางการเมืองให้พรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ และจะส่งผลให้คนเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงมีรายได้จากการท่องเที่ยวอีกมาก 

อย่างไรก็ดี โครงการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่นั้นก็เป็นหนึ่งในแผนของรัฐบาลในการให้ไทยเป็นฮับศูนย์กลางการบินภูมิภาค (อ่านแอร์เอชีย! ได้อานิสงส์) 

“ดอนเมือง” สนามบินเพื่อโลว์คอสต์ 
ขณะเดียวกัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ได้วางแผนที่จะพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ต ใช้งบในระยะแรกปี 2546-2549 ในวงเงิน 2,690 ล้านบาท 

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ตนี้ เป็นโครงการที่เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และได้รับการอนุมัติไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 ว่ากันว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวของธุรกิจนายหญิงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการกว้านซื้อที่ดินหลายแปลงในปี 2547 โดยเฉพาะที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ และภูเก็ต 

ส่วนในกรุงเทพฯ ก็ชัดเจนว่าต่อไปสุวรรณภูมิจะเป็นสนามบินหลักที่ใช้รองรับเที่ยวบินจากต่างประเทศ ขณะที่สนามบินดอนเมือง โชติศักดิ์ อาสภวิริยะ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ผู้ซึ่งบอร์ดทอท.ได้อนุมัตให้เป็นเอ็มดีคนใหม่และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2549 ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ โดยประกาศที่จะให้สนามบินดอนเมืองเป็นที่ให้บริการการบินสายต้นทุนต่ำ เพื่อหารายได้เพิ่มให้ ทอท. 

แม้เหตุผลสำคัญจะอยู่ที่เป็นการเพิ่มรายได้ให้ ทอท. แต่จริงๆ แล้วเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสายการบินไทยแอร์เอเชียของตระกูลชินวัตร หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่เอ็มดีคนใหม่ต้องตอบให้ชัดเจน 

เก็งกำไรเมืองใหม่ “สุวรรณภูมิ” 
ส่วนกรณีนครสุวรรณภูมิ ที่นอกจากจะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นฮับการบินภูมิภาคเอเชียอาคเนย์แล้ว จะมีการตั้งเมืองใหม่สุวรรณภูมิ หรือสุวรรณภูมิมหานคร โดยจะใช้ระบบเขตปกครองพิเศษ ซึ่งโครงการนี้จะมีพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างสมุทรปราการ และกรุงเทพฯ จำนวน 20,000 ไร่ ด้วยเม็ดเงินลงทุนระยะแรกกว่า 150,000 ล้านบาท ที่พลิกโฉมให้เนื้อที่โดยรอบเกือบ 60,000 ไร่ กลายเป็นทำเลทอง ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวขึ้นกว่า 3 เท่า จากไร่ละ 900,000 บาท เป็น 3-4 ล้านบาท 

การพุ่งขึ้นของราคาที่ดินได้กลายเป็นจุดอ่อนให้มีการเก็งกำไรเกิดขึ้น และส่วนใหญ่คนที่รู้ล่วงหน้าว่าจะมีการผลักดันพื้นที่โดยรอบสุวรรณภูมิเป็นเมืองใหม่ก็มีแต่นักธุรกิจที่มีสัมพันธ์กับนักการเมือง และกลุ่มนักการเมืองแทบทั้งสิ้น 

สำหรับนักพัฒนาที่ดินรายใหญ่ที่เป็นเจ้าของที่ดิน อาทิ บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) โดยอนันต์ อัศวโภคิน คนนี้คือเพื่อนสนิทวิศวะจุฬาลงกรณ์ฯ ของบุญคลี ปลั่งศิริ บิ๊กชินคอร์ป ซึ่งคนในวงการอสังหาริมทรัพย์คอยจับจ้องการเคลื่อนไหวของเขา และเชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้วางเกมกลยุทธ์หลายๆ อย่างให้พรรคไทยรักไทย และยังเป็นผู้มีคุณูปการต่อครอบครัวชินวัตรในการทำหน้าที่เป็นกูรูด้านอสังหาฯให้กับบริษัท เอสซี แอสเซท ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินของนายกฯ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตลอดจนรัฐมนตรีและภรรยาหลายคน ที่สำคัญได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ภรรยาพงศ์เทพ เทพกาญจนา รวมทั้ง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ 

นอกจากนี้ยังมีนักพัฒนาที่ดินรายใหม่ ประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เจ้าของบริษัท ไทยน๊อคซ์ ได้เข้าซื้อที่ดินโครงการเลควู๊ด ที่มีทั้งสนามกอล์ฟ และที่ดินเพื่อการพัฒนารวมแล้วกว่า 2,500 ไร่ ซึ่งกำลังจะกลายเป็นขุมทรัพย์มหาศาลให้กับตระกูลมหากิจศิรินายทุนพรรคไทยรักไทยอีกทางหนึ่ง 

ที่ดินแปลงใหญ่อีกแปลงหนึ่งกว่า 4,600 ไร่ เป็นของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเจ้าปัญหาที่ทำให้อดีตเอ็มดีแบงก์กรุงไทย ต้องถูกข้อกล่าวหาถึงความไม่โปร่งใสจากแบงก์ชาติ วางแผนจะพัฒนาเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ชื่อ สุวรรณภูมิเซ็นเตอร์ โดยได้เสนอยกที่ดินกว่า 700 ไร่ ให้เป็นที่ตั้งรัฐสภาใหม่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค 

ส่ง “พารณ-โอฬาร” ร่างหลักสูตร ม.ชินวัตร 
ขณะที่การประกาศเป็นฮับ ICT โดยมุ่งหวังจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ก็เป็นอีกฮับหนึ่งที่น่าจะส่งผลดีกับธุรกิจครอบครัวชินวัตร โดยเฉพาะธุรกิจมือถือ และธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ (ชิน อินเทอร์เน็ต บรอดแบรนด์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้อานิสงส์ไปด้วย 

ส่วน การประกาศฮับการอุดมศึกษาเอเชีย ว่ากันว่าน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจตระกูลชินวัตร ด้วยเช่นกัน แม้ว่ามหาวิทยาลัยในเครือจะมีเพียงหนึ่ง คือมหาวิทยาลัยชินวัตร 

ทั้งนี้ เพราะมหาวิทยาลัยชินวัตรนั้น ครั้งหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งดร.พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และดร.โอฬาร ไชยประวัติ 2 ขุนพลใกล้ชิดรัฐบาลมานั่งในตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยชินวัตร เข้าไปทำหน้าที่วางรากฐานวางระบบหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลที่ต้องการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ บูรณาการด้วยเทคโนโลยี เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลังจากเตรียมความพร้อมของมหาวิทยาลัยชินวัตรเรียบร้อย รัฐบาลก็ประกาศนโยบายดันไทยเป็นฮับการศึกษาเอเชีย 

อย่างไรก็ดี การประกาศฮับแต่ละครั้งยังทำให้เครือญาติการเมืองได้ผลบุญไปด้วย ที่สำคัญก็คือ เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่ขยับขยายธุรกิจจากธุรกิจมือถือ เข้าสู่ธุรกิจลอจิสติกส์เต็มตัว (“เจ๊แดง” สบช่องดัน “WIN” บุก) ส่วนกระเป๋าใหญ่ไทยรักไทย อย่าง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่พลาดงานนี้เช่นกัน 

“จึงรุ่งเรืองกิจ” เฮรับฮับยานยนต์ 
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เรียกได้ว่าเติบโตมากับวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะกลุ่มธุรกิจหลักของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ คือบริษัท ไทยซัมมิท โอโต้พาร์ท อินดัสตรี ที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ป้อนโรงงานของบริษัทโตโยต้า 

โดยฮับยานยนต์นี้ กระทรวงอุตฯ ได้มอบหมายให้สถาบันยานยนต์เป็นผู้รับผิดชอบแผนงานการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์แห่งเอเชียในปี 2553 โดยตามแผนคาดว่าจะใช้เม็ดเงินเกือบ 10,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานแบบโครงการครบวงจร ซึ่งมีความชัดเจนแล้วว่าหนึ่งใน 5 โครงการหลัก คือโครงการ ศูนย์ทดสอบและสนามทดสอบยานยนต์มูลค่า 6,000 ล้านบาท บริษัท ไทยซัมมิต ได้แสดงความสนใจที่จะทำโครงการ กับบริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนักลงทุนจากต่างประเทศ 

อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่บริษัท ไทยซัมมิท โอโต้พาร์ท อินดัสตรี ที่มีความข้องเกี่ยวกับ สุริยะ เนื่องจากธุรกิจของตระกูลจุฬางกูร พี่น้องใกล้ชิดสุริยะ ก็ทำธุรกิจยานยนต์เช่นกัน ในบริษัท ไทยสตีลเคเบิ้ล จำกัด (มหาชน) หรือ TSC 

TSC เป็นผู้นำในธุรกิจผลิต สายควบคุม (Control Cable) และ ชุดควบคุมรางกระจกหน้าต่างรถยนต์ (Window Regulator) เพื่อจำหน่ายให้แก่บริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำ 

จากเป้าหมายที่รัฐบาลจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์เอเชีย หรือดีทรอยต์ออฟเอเชีย ก็ทำให้ TSC ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยบริษัทไม่ต้องเสียภาษีเป็นเวลา 7 ปี โดยในปี 2547 บริษัทมีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม คือมียอดขาย 1,700 ล้านบาท 

ตามแผนคาดว่า ในปี 2548 บริษัทจะมีอัตราเติบโตประมาณ 10- 
20% ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายราย ได้ประเมินว่าจากประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลดังกล่าวจะทำให้ยอดขายของ TSC ขยายตัวสูงถึง 18% สู่ระดับ 2,023 ล้านบาท มีกำไรสุทธิเท่ากับ 257 ล้านบาท 

ดังนั้น การประกาศเป็นฮับยานยนต์ จึงก่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจในเครือของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย 

อย่างไรก็ดี ในวงการยานยนต์รู้กันดีว่า มีอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในแวดวงนี้คือ ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีอุตฯ ซึ่งเขามีธุรกิจครอบครัวเกี่ยวข้องกับอุตสาหรรมยานยนต์เช่นกัน คือ บริษัท สิทธิผล เซลล์ จำกัด และบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิซซูบิชิ มอเตอร์ในประเทศไทย 

ดังนั้น ในการเดินหน้าผลักดันไทยให้เป็นฮับต่างๆ ครั้งนี้ หากผลประโยชน์ทั้ง 3 ส่วน ทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจ ผลประโยชน์ทางการเมือง และผลประโยชน์ของประชาชน ทั่วไป มีส่วนผสมที่ลงตัว ก็จะทำให้ประเทศชาติก้าวหน้า แต่หากยึดผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน และพวกพ้องมากเกินไป ก็จะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างมหาศาล! 

************ 

“วิชัย ทองแตง” ชี้ปี 49 ธุรกิจรพ.คึกคัก
นายหญิง ขอมีเอี่ยว Medical Hub!
 

หนึ่งในหลายนโยบาย หลากโครงการต่างๆที่ถูกจับตานั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการประกาศปลุกปั้นให้ไทยก้าวขึ้นมาสู่ “ศูนย์กลางการบริการสุขภาพแห่งเอเชีย” หรือ Health Hub of Asia ในปี 2546 ของรัฐบาลนั้นกลับพบว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีหุ้นโรงพยาบาลพระรามเก้าอยู่ในมือ ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับที่ “วิชัย ทองแตง” อดีตทนายคดีประวัติศาสตร์ “ซุกหุ้น” ได้พลิกบทบาทจากทนายความมาสู่เจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง เพื่อนำมาปัดฝุ่นตบแต่งเพื่อรอเข้าร่วมขบวน “ฮับสุขภาพแห่งเอเชีย” ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้ง คุณหญิงพจมาน และวิชัย นั้นต่างๆเข้ามาถือหุ้นในโรงพยาบาลเอกชนระดับชั้นนำก่อนหน้าที่รัฐบาลจะผุด “ Health Hub of Asia ” 

การบริหารจัดการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนหลายปีที่ผ่านมามีการทำตลาดเชิงรุก เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ เหล่านั้น ไม่เพียงแต่แข่งขันเพื่อดึงส่วนแบ่งในตลาดลูกค้า แต่ยังต้องการที่จะพัฒนาไปสู่ความเป็น Medical Hub ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 กลุ่มธุรกิจสุขภาพที่รัฐบาลจะเร่งพัฒนา ประกอบด้วย Health Service, Health Product และ Medical Hub โดยที่ธุรกิจทั้ง 3 ด้านนั้นจะต้องได้รับการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพแห่งเอเชีย ในปี 2551 โดยมีกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่เป็นแม่งานหลัก 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำหลายแห่งต่างปรับกลยุทธ์การบริหารและบริการซึ่งโรงพยาบาลใดมีจุดแข็งความเป็นเลิศด้านใด ต่างนำมาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างคึกคัก รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนจำนวนหลายแห่งที่วิชัย ทองแตง ไปกว้านซื้อมาพัฒนาไว้แล้วเช่นกัน 

“หลายปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง พากันปรับตัวและแข่งขันกันค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นบำรุงราษฎร์ หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ ส่วนของเราโรงพยาบาลพญาไท ยังอยู่ในช่วงของการปรับตัว และเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ แน่นอนว่าเราก็มีเป้าหมายที่ร่วมเป็นหนึ่งในนโยบายศูนย์กลางการแพทย์แห่งภูมิภาค ตามนโยบายรัฐบาล” 

“วิชัย ทองแตง” ประธานกรรมการเครือโรงพยาบาลพญาไท ได้บอกกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่า ภายหลังจากโรงพยาบาลพญาไท ได้ปรับปรุงงานในด้านต่างๆ แล้วจะผลักดันโรงพยาบาลสู่การเป็น Medical Hub โดยทางโรงพยาบาลมีแผนงานที่สอดคล้องกับนโยบายในด้านดังกล่าวของรัฐบาลอยู่แล้ว 

“ขณะที่เรากำลังปรับปรุงงานด้านต่างๆ ทั้งการบริหาร งานบริการ โรงพยาบาลพญาไท ก็ได้ทำการตลาดเชิงรุกควบคู่กันไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ “ 

วิชัย ยังคาดว่า ในปี 2549 โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งจะพากันปรับตัวและแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลกันอย่างคึกคักมากขึ้น อันเนื่องจากมาจากการสนับสนุนของรัฐบาลด้วยนโยบายศูนย์กลางการแพทย์แห่งภูมิภาค แล้วยังต้องยอมรับว่านโยบายการเปิดการค้าเสรีระหว่างไทย-ออสเตรเลีย นั้นยังมีช่องทางที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้ลูกค้าจากประเทศออสเตรเลีย มาใช้บริการในโรงพยาบาลเอกชนของไทยได้สะดวกมากขึ้น 

เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลียเองก็น่าจะกำลังดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อให้ พลเมืองชาวออสเตรเลียเองสามารถมาใช้บริการด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนของไทย แล้วสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้อง... 

สำหรับโรงพยาบาลพญาไท นั้นมีแนวคิดให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนในรูปแบบ “เมดิคัล สปา” คือนำเทคนิคการแพทย์ผสมผสานกับการแพทย์แผนโบราณของไทย โดยจะทำให้เครือข่ายกระจายไปสู่จังหวัดใหญ่ หลายแห่งนอกเหนือไปจากการมีโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล แล้ววิชัยยังถือหุ้นในโรงพยาบาลวชิระปราการ และศิครินทร์ ซึ่งแต่ละแห่งเขาได้จัดวางรูปแบบการบริหารจัดการสอดคล้องกับนโยบาย Medical Hub ของรัฐบาลอย่างลงตัวและชัดเจน 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่บรรดาโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ หลายแห่งตื่นตัวและเตรียมพร้อมที่จะผลักดันตัวเองเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์แห่งภูมิภาค ด้วยการจัดสรรเม็ดเงินก้อนโต การสรรหาบุคลาทางด้านการแพทย์ชั้นหนึ่งเพื่อเป็นจุดดึงดูดลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ กลับมีข้อสังเกตและเสียงเตือนจากภาคประชาชนมาโดยตลอดว่ารัฐบาลต้องไม่ลืมปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์แก่คนจนในประเทศให้มีมาตรฐานมากกว่าที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ “โครงการ 30 บาท คนไทยห่างไกลโรค” ที่ไม่สามารถตอบสนองคนจนในประเทศได้อย่างแท้จริง... 


************ 

ปั้นฮับอิเล็กทรอนิกส์-ลอจิสติกส์
“เจ๊แดง” สบช่องดัน “WIN” บุก
 

รัฐเล็งสร้างฮับอิเล็กทรอนิกส์ใน 3 ปี คาดได้เงินเข้าประเทศกว่าล้านล้านบาท เตรียมนโยบายผลักดันเรียบร้อย พร้อมเข็น ฮับลอจิสติกส์ ลดต้นทุนการผลิตดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก “เจ๊แดง” น้องนายกและพวกพ้องเล็งการณ์ไกล เทคโอเวอร์บริษัทในตลาดหุ้น ปัดฝุ่นใหม่ในชื่อ “WIN-NFC” บุกธุรกิจโลจิสติกส์เต็มสูบ 

กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าที่จะปั้นไทยเป็นฮับยานยนต์ ปัจจุบันไทยสามารถผลิตรถยนต์ได้กว่า 1 ล้านคันแล้ว ซึ่งนโยบายต่อไปที่ทางกระทรวงอุตฯมองว่าจะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนมายังไทยได้คือ การก้าวสู่การเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์ แม้ไทยจะถูกจีนตีตลาดช่วงหนึ่ง จนสภาอุตสาหกรรมไทยต่างเป็นกังวลกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ว่าต่อไปจะมีการปรับตัวกับแข่งกับสินค้าจากประเทศจีนได้อย่างไร 

รัฐดันฮับอิเล็กทรอนิกส์ดึงเงินเพิ่มล้านล้าน 
เมื่อกลางเดือน ธันวาคมปี 2548 รัฐบาลประกาศนโยบายจะทำให้ไทยเป็นฮับด้านอิเล็กทรอนิกส์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งแกนนำรัฐบาลต่างเดินหน้าผลักดันตั้งแต่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ตั้งเป้าไว้ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า ไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในอาเซียน จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ใน 5 ปี ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท รวมทั้งสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.อุตสาหกรรม ตั้งเป้าหมายเดียวกันคือจะดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมทั้งญี่ปุ่น และเกาหลี เพราะ 2 ประเทศลงทุนอยู่แล้ว 

ส่วนยอดการลงทุนใน 11 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 6 แสนล้านบาท แต่มีเป้าหมายผลักดันให้การลงทุนดังกล่าวถึง 1 ล้านล้านบาท จึงต้องมีการลงทุนเพิ่มในส่วนของอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มถึง 60-70% โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2542- 2547 มีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท ทำให้ไทยก้าวสู่การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสไดรฟ์เป็นอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน 

ขณะที่ จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้วางแผนสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2549 ไว้แล้ว อีกทั้งทางกระทรวงยังติดตามเทคโนโลยีคลื่นลูกใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อีกไม่นานอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกจะต้องพึ่งพิง ระบบอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าที่จะใช้เครื่องยนต์ และสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองทางกระทรวงอุตฯจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้าให้แตกต่างไปจากจีน 

ส่วนของ บีโอไอ หรือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมลงทุน ได้จัดเตรียมข้อเสนอพิเศษให้กับนักลงทุนมากขึ้น สาธิต ศิริรังคมานนท์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่าทางคณะกรรมการฯได้จัดเตรียมข้อเสนอพิเศษทางภาษีให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่อยู่นอกเขตสนับสนุนการลงทุนเพิ่มขึ้น และยังยกเว้นภาษีขายเครื่องจักรเก่าเพื่อนำเงินเหล่านั้นมาซื้อเครื่องจักรใหม่อีกด้วย 

สำหรับนักลงทุนรายใหญ่นั้น ทางคณะกรรมการฯจะสนับสนุนให้นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีการปรับสิทธิประโยชน์การลงทุนโดยเฉพาะการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลในพื้นที่เขต 1 และเขต 2 เพื่อสนับสนุนระบบอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร ขณะนี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่จากต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนบ้างแล้ว 

ด้วยนโยบายการผลักดันของภาครัฐอย่างเต็มที่ จึงคาดกันว่าภายใน 3 ปีนี้ ฮับอิเล็กทรอนิกส์จะเกิดขึ้นได้ 

โบรกแนะ HANA 
นักวิเคราะห์จากนครหลวงไทยมองว่า ฮับอิเล็กทรอนิกส์จะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากปัจจัยหลายส่วน ไม่ใช่แค่การเพิ่มสิทธิพิเศษดึงดูดใจนักลงทุนเพียงอย่างเดียว เพราะธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ตอนนี้ยังต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แน่นอนว่าปัจจัยด้านดอกเบี้ยของสหรัฐจึงเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามากระทบธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนั้นคู่แข่งอย่าง จีน ก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่ไทยจะเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์ เพราะด้วยต้นทุนการผลิตของจีนที่ต่ำกว่าไทยมาก อีกทั้งตอนนี้การลงทุนทุกอย่างมุ่งไปที่จีนอีกด้วย แม้ทางรัฐบาลจะบอกว่าจะไปดึงนักลงทุนจาก Seagate เข้ามาลงทุนในเมืองไทยเพิ่ม แต่ทางบริษัทก็ยังไม่ให้คำตอบเรื่องการลงทุนอย่างแน่นอนดังนั้นฮับอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจึงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกยาว 

อย่างไรก็ตาม ถ้าประสบความสำเร็จในการดึงนักลงทุนมาลงทุนด้านอิเล็กทรอนิกส์ได้จริง บริษัทที่จะได้รับอานิสงส์มากที่สุดในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ก็คือ HANA เพราะทางบริษัทได้ไปลงทุนบางส่วนไว้ที่จีน และถ้าเมืองไทยสามารถเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์ได้จริง HANAจะได้ประโยชน์สองทาง ซึ่งทางนครหลวงไทยคาดว่าราคาในปี 2549 จะไต่เพิ่มขึ้นไปจากฐานที่ราคา 26 บาท และแน่นอนว่า HANA จะยังอยู่ในราคาขาขึ้นในปี 2549 

นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่เคยอยู่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มาก่อน อย่าง CAPE ที่ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้าไปซื้อไว้ก่อนจากนั้นนำมาแต่งตัวใหม่ โดยจะเน้นการลงทุน 2 อย่างคือ ชิ้นส่วนจักรยาน และระบบลอจิสติกส์ 

อย่างไรก็ดี ตัวการที่จะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นฮับอิเล็กทรอนิกส์ได้นั้น ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือระบบโลจิสติก ที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับนักลงทุน สร้างแรงดึงดูดใจให้ไทยน่าลงทุนมากยิ่งขึ้น เพราะไทยมีข้อด้อยที่ระบบโลจิสติก ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มเข้าไปกว่า 20% ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศที่ถือว่ามีต้นทุนการผลิตที่สูงมาก เมื่อไทยได้เปิดสนามบินสุวรรณภูมิขึ้นมา รัฐบาลจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะจัดระบบโลจิสติกส์ภายในประเทศและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระบบโลจิสติกในภูมิภาคให้ได้ 

มุ่งแปรรูปวิสาหกิจรับลอจิสติกส์ฮับ 
สำหรับโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสนามบินสุวรรรภูมิ มีโครงการดำเนินการศูนย์ขนส่งและลอจิสติกส์รวมอยู่ด้วย โดยรัฐบาลตั้งเป้าจะให้เป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ภูมิภาค ถือเป็นดาวรุ่ง 1 ใน 5 เมกะโปรเจกต์ที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยผ่านทูต 54 ประเทศทั่วโลก ในงาน Thailand : Partnership for Development เมื่อ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา 

ข้อมูลของ สนธิ ลิ้มทองกุล จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 12 กล่าวถึง ภูมิธรรม เวชยชัย รมช.คมนาคม มีนโยบายผลักดันให้มีการแปรรูปบริษัท ไทยเดินเรือทะเล หรือ บทด. ที่รัฐถือหุ้น 100% โดยอ้างถึงมติ ครม.ระบุ ให้บริษัทอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มของ 23 บริษัทเดินเรือ รวมตัวกันเข้ามาถือหุ้น 70% ส่วน บทด.ถือหุ้นที่เหลือ 30% โดยมีแผนให้ปตท.โอนการขนส่งน้ำมันที่ ปตท.มีอยู่มาให้บริษัทนี้ทำ เมื่อมีการแปรรูป บทด.ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนกลุ่มดังกล่าวเข้ามารับงานของ ปตท. 

เมื่อย้อนดูผู้ถือหุ้น กลับกลายเป็นคนกลุ่มของไทยรักไทย มีทั้งกลุ่มคนเดือนตุลา กลุ่มตระกูลเลาหพงศ์ชนะ และหนึ่งในนั้นมีกรรมการบริษัท เอ็มลิงก์ ของน้องสาวนายกรัฐมนตรีด้วย 

รายชื่อผู้ถือหุ้นประกอบด้วย 1.ชูรัตน์ เลาหพงศ์ชนะ เครือญาติกับปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รมช.พาณิชย์ จำนวน 133,335 หุ้น 2.บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด ของตระกูลเลาหพงศ์ชนะ ถือหุ้น 330,000 หุ้น ที่สำคัญ กรรมการบริษัท เจ้าพระยาประกันภัย ชื่อ สุนิสา ปฐมพฤกษ์ และสุนิสาผู้นี้ยังเป็นกรรมการบริษัท เอ็มลิงก์ ที่มีมณฑาทิพย์ น้องสาวของ นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของ 

3.สมบูรณ์ สิมะแสงยากรณ์ ปัจจุบันตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา รมช.คมนาคมของภูมิธรรม โดยใช้สิทธิ์และอำนาจของ รมช.คมนาคม ในการเข้ามาถือหุ้นอยู่ในบริษัทซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ และ4.สวาย อุดมเจริญชัย อดีตรองเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย และนักธุรกิจที่ทำงานร่วมกับตระกูลเลาหพงศ์ชนะมานาน จำนวน 203,335 หุ้น นอกจากนี้ยังมีชื่อของ เมธี เกียรติก้องขจร ที่ปรึกษาภูมิธรรม เป็นกรรมการของ บทด.คนหนึ่งด้วย 

นอกจากนี้ หากฮับลอจิสติกส์ประสบความสำเร็จ คนที่จะได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ อีกหนึ่ง คือครอบครัววงศ์สวัสดิ์ ที่รุกคืบจากธุรกิจมือถือไปสู่ธุรกิจลอจิสติกส์อีกธุรกิจหนึ่ง โดยเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้ส่งลูกทั้ง 3 คือ ชินณิชา ชยาภา และยศชนัน เข้าถือหุ้น บมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (เดิมชื่อบริษัท เคพโทรนิค อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น WIN รวมกันในสัดส่วน 62.41% ถือเป็นหุ้นใหญ่สุดในบริษัทวินโคสท์ เป็นธุรกิจบริหารคลังสินค้าที่ถือเป็นธุรกิจครอบครัวโดยตรง และชินณิชา ดำรงตำแหน่ง Chieft Strategy Officer ของบริษัท มี ภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา มืออาชีพคนเก่าแก่ ที่เคยบริหารงานเอ็มลิงค์ มานั่งเป็นซีอีโอ 

อย่างไรก็ดี แม้กลุ่มวงศ์สวัสดิ์จะเทขายหุ้น WIN หลังจากเข้าเทรดในตลาดหุ้น 4 วัน โดยได้มีการขายหุ้นออกไปจำนวนหนึ่งแต่ยังถือว่ายังรักษาสถานนะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คือ จากที่มีหุ้นอยู่ 62.41% เหลืออยู่อีก 56.37% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากลุ่มวงศ์สวัสดิ์ยังคงรักษาธุรกิจบริหารคลังสินค้าเอาไว้ในมือ ขณะที่การขายหุ้นออกไปดังกล่าว ยังทำให้กลุ่มวงศ์สวัสดิ์ได้กำไรจากการขายหุ้นทันที 60 ล้านบาท 

นอกจากนี้ กลุ่มวงศ์สวัสดิ์ยังจับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยได้จับมือกลุ่มวิไลลักษณ์เข้าซื้อหุ้น 50% ของบริษัท แอสคอน คอนสตรักชั่น จำกัด(มหาชน) ASCON ที่ประกาศแผนดำเนินงานอย่างชัดเจนว่าจะมุ่งประมูลโครงการของภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ 

ปัจจุบันบริษัทแอสคอน กำลังประมูลงาน 10 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะได้รับงานสัมปทานปรับปรุงถนน 10 ปี ในกัมพูชามูลค่าหลายร้อยล้านบาท รวมทั้งประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าด้วย 

ส่วนกลุ่มที่สนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจลอจิสติกส์อีกคือ กลุ่มของเอ็นเอฟซี อดีตปุ๋ยแห่งชาติที่มีวิชัย ทองแตง และ ณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี เข้ามาซื้อกิจการและจะเปลี่ยนจากผลิตปุ๋ย มาทำระบบลอจิสติกส์แทน โดยจะรับขนส่งปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ทางท่อ คาดว่าสามารถจัดการระบบทั้งหมดได้ภายใน 5 ปี 

************ 

แอร์เอชีย! ได้อานิสงส์
รัฐดันไทยเป็น “ฮับ” การบิน-ท่องเที่ยว
 

นโยบายผลักดันไทยเป็น “ฮับ” การบิน-การท่องเที่ยว ด้วยการปลุกปั้นสนามบินสุวรรณภูมิ–สนามบินเชียงใหม่ เพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินโดจีน คลอดแล้ว ขณะที่ “แอร์เอเชีย”ของชินคอร์ป ได้อานิสงส์โตแบบก้าวกระโดด 

“สนามบินสุวรรณภูมิ” ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินแห่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียและมีศักยภาพที่พร้อมรองรับผู้โดยสารได้กว่า 45 ล้านคนต่อปี ประกอบกับมีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามเป็นต้นทุนสำคัญที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาชมธรรมชาติได้ ดังนั้น รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จึงมีแผนที่จะพัฒนาให้ไทยเป็น “ฮับ” หรือศูนย์กลางการบินของภูมิภาคนี้ 

โดยรัฐบาลได้ทุ่มงบกว่า 120,000 ล้านบาทในการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิให้มีความพร้อมที่จะรองรับจำนวนผู้โดยสารที่หลั่งไหลเข้ามาทั้งเพื่อมาเที่ยวประเทศไทยโดยตรง หรือใช้เป็นจุดเปลี่ยนสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการเดินทางไปยังภูมิภาคอินโดจีนได้อย่างสะดวก 

ดังนั้น สนามบินแห่งนี้จึงมีความทันสมัย สะดวกสบายและมี 4 รันเวย์ที่สายการบินสามารถขึ้นลงได้พร้อมกันเนื่องจากไทยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนสายการบินเข้ามาใช้บริการมากขึ้น 

ดันเชียงใหม่ “ฮับ” ภูมิภาค 
การที่รัฐบาลประกาศให้ไทยเป็น “ฮับ” มิใช่เพียงแต่การพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิไว้รองรับเท่านั้น รัฐบาลยังได้ทุ่มงบพัฒนาด้านการขนส่งอย่างครบวงจร โดยเตรียมดึงเชียงใหม่ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการบิน (ฮับ) อีกแห่งหนึ่ง เพื่อตอบรับการขยายตัวทางภูมิภาคอินโดจีน เชื่อมต่อ ลาว พม่า และจีน ซึ่งทั้ง 3 ประเทศต่างเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่จะได้รับความสนใจในอนาคต โดยเฉพาะการท่องเที่ยวไปยังเมืองหลวงพระบาง, เมืองพุกามประเทศพม่า และเมื่อมองในด้านการค้า การลงทุน การที่ไทยมีพื้นที่ด้านเหนือติดกับทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญ 

อย่างไรก็ดี จังหวัดเชียงใหม่ยังได้รับอนุมัติงบปี 2547 เพื่อปรับปรุงรันเวย์สนามบิน อีกทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของกิจการสนามบินในวงเงิน 1,800 ล้านบาท เพื่อเร่งพัฒนาให้ไทยเป็นฮับการบินที่มีโครงข่ายการบินที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถดึงนักท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ได้ทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถดึงนักธุรกิจเข้ามาในไทยได้ก่อนที่จะเปลี่ยนเครื่องบินไปยังประเทศอื่นๆ นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยจะผลักดันการท่องเที่ยวให้โตขึ้นได้ 

โลว์คอสต์โตรับฮับการบิน 
ขณะที่ไทยก้าวขึ้นไปสู่การเป็นฮับการบินในภูมิภาค ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินก็จะเฟื่องฟูไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจการบิน เพราะจะมีผู้โดยสารเข้ามามากขึ้นทำให้มีความต้องการใช้เครื่องบินทั้งในและนอกประเทศตามไปด้วย และหากเป็นการบินที่อยู่ภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้เวลาบินเพียงแค่ 1 ชั่วโมงด้วยแล้ว สายการบินต้นทุนต่ำหรือโลว์คอสแอร์ไลน์จึงน่าจะครองตลาดการบินภูมิภาคในอนาคต 

เมื่อมองผู้เล่นในสายการบินต่ำ คงจะไม่มีใครปฏิเสธอิทธิพลของ “แอร์เอเชีย” ว่าเป็นคีย์เพลย์เยอร์ในตลาด ถือได้ว่าแอร์เอเชียเป็นเจ้าแรกที่จุดพลุสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทย จนมีคนสงสัยว่ากลุ่มชิน จะพาสายการบินต้นทุนราคาต่ำแค่ 99 บาท ในช่วงโปรโมชันมาได้ตลอดรอดฝั่งอย่างไร แล้วขณะนี้กลุ่มชินกำลังคิดอะไรอยู่ 

เวลาผ่านไป 3 ปี เหลียวมองแอร์เอเชีย พบว่า บริษัทรับรู้รายได้ปี 2548 กว่า สองแสนล้าน และเป็นสายการบินต้นทุนต่ำเพียงรายเดียวที่มีเส้นทางการบินครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย นอกจากนั้นเส้นทางการบินที่สำคัญในประเทศอย่าง ภูเก็ต และ เชียงใหม่ที่จะเป็นฮับในอนาคต แอร์เอเชียก็มีเส้นทางการบินเป็นประจำอยู่แล้วจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อไทยก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์การบินภูมิภาคนี้ขึ้นมา แอร์เอเชียจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดแผ่กิ่งก้านสาขาได้ไกลยิ่งกว่าการบินไทยเสียอีก เพราะแม้กระทั่งตอนนี้เองการบินไทยเองก็ต้องอาศัยพันธมิตรอย่างนกแอร์ให้แบ่งสัดส่วนสายการบินในประเทศไปบ้าง เพราะทางการบินไทยคงไปหั่นราคาสู้ไม่ได้ 

ในขณะที่มองไปที่สายการบินต้นทุนต่ำด้วยกัน แอร์เอเชียดูจะแข็งแกร่งมากที่สุด จากจำนวนเครื่องบินที่ได้มีการสั่งเข้ามาเพิ่ม และจำนวนสายการบินที่ครอบคลุม สายการบินต้นทุนต่ำรายอื่น คงต้องขยายเส้นทางการบินตามหลังแอร์เอเชียอีกนาน 

เป้าหมายนักท่องเที่ยวเพิ่ม 13.3 ล้านคน 
นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศให้ไทยเป็นฮับแห่งการท่องเที่ยวเพื่อดึงเม็ดเงินต่างประเทศเข้ามายังไทยตั้งแต่ต้นปี 2547 โดย สนธยา คุณปลื้ม รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาในสมัยนั้น ระบุว่า ตัวเลขที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเมืองไทยในปี 2548 น้อยเกินไป เนื่องเพราะไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวจึงน่าจะสามารถทำตลาดได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงได้มีการปรับเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวตลาดในประเทศจาก 76.25 ล้านคนครั้ง น่าจะเพิ่มได้ถึง 79.9 ล้านคน ขณะที่ตลาดต่างประเทศตั้งเป้าไว้ 13.38 ล้านคนครั้ง น่าจะปรับเพิ่มได้ถึง 13.6 ล้านคนครั้ง โดยททท.ต้องมีการกระตุ้นนักท่องเที่ยวด้วยวิธีต่างๆ กัน ดังนั้น ในปี 2548 รัฐบาลจึงใช้งบการลงทุนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวไปกว่า 10,000 ล้านบาท 

ล่าสุด ประชา มาลีนนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาเร่งคนปัจจุบัน ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบลองเสตย์ในเมืองไทย โดยมีการติดต่อกับการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยววัยเกษียณจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบลองสเตย์ ซึ่งทางการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเสนอให้ไทยเปิดเส้นทางบินไปสู่ญี่ปุ่นมากขึ้น เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วภูมิภาคญี่ปุ่นเข้าสู่ไทยมากขึ้น 

ปี 48 ใช้งบทำฮับท่องเที่ยวหมื่นล้าน 
ในการผลักดันให้ไทยเป็นฮับด้านการท่องเที่ยวนั้น ททท.ได้เตรียมแผนการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปี 2548 เป็นต้นมาโดย จุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการ ททท.ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ททท.ได้มีการเสนอของบประมาณในปี 2548 อีก 10,437 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 121.18% เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ 

ทั้งนี้ แบ่งเป็นงบดำเนินการจำนวน 2,603 ล้านบาท งบดังกล่าวจะนำไปใช้ด้านสิ่งก่อสร้าง ค่าตอบแทนพนักงานและเงินเดือนพนักงาน ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 133%เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา 

งบประมาณการจัดกิจกรรมและโครงการ จำนวน 7,834 หรือคิดเป็น 75% โดยแบ่งเป็นงบด้านการตลาด 4,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปีนี้ 89% ที่แบ่งเป็นงบการตลาดภายในประเทศจำนวน 900 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้ในส่วนของการโฆษณาการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศและเทศกาลกระตุ้นการท่องเที่ยวในแต่ละเทศกาล และงบการตลาดต่างประเทศ จำนวน 3,239 ล้านบาท 

โดยในปี 2549 ททท.มีแผนการลงทุนเพื่อการท่องเที่ยว เช่น สิ่งปลูกสร้างของ ททท. การปรับปรุงพื้นที่ชายหาดบางแสน รวมถึงศูนย์ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้ก้าวสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น 

ขณะเดียวกัน ททท.ได้จัดสรรงบโครงการก่อสร้างใหม่หลายโครงการ อาทิ ศูนย์ประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 547 ล้านบาท ค่าออกแบบศูนย์ประชุมจังหวัดภูเก็ต จำนวน 105 ล้านบาท และการเปิดสำนักงานมอสโคว์ จำนวน 43 ล้านบาท เป็นต้น 


************ 

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ สารพัดฮับ “โอกาสทอง”นักลงทุน

ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ 
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (นิด้า)
 

การประกาศฮับต่างๆของรัฐบาลไทยรักไทย ออกมามากมายนั้นต้องยอมรับว่าในแง่การเมือง ก็อาจจะได้รับคะแนนนิยมและคาดหวังที่จะได้รับความเชื่อมั่น ความเชื่อถือ และต้องการทำให้เห็นถึงการพัฒนาในฮับต่างๆที่ประกาศออกมา เป็นการทำ “การตลาด” ที่ชัดเจนของรัฐบาล เราก็ต้องเข้าใจและเห็นใจ ส่วนจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้จริงหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

“อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นความตั้งใจจริงที่ดีของรัฐบาล เวลานี้เหลือเพียงแต่รัฐบาลต้องมี action plan ออกมาอย่างชัดเจน จะลงทุนอย่างไรและมียุทธศาสตร์ เพราะบางโครงการมีคู่แข่ง บางโครงการต้องอาศัยการลงทุนจำนวนมาก รวมทั้งบางเรื่องต้องอาศัยระบบการจัดการที่ดี” 

หลายๆ ฮับที่รัฐบาลประกาศออกมานั้น จำเป็นต้องอาศัยการจัดการที่ดี อาทิ ฮับพลังงานที่ต้องใช้ระบบการจัดการที่เข้มแข็งเข้ามาช่วย ขณะที่ฮับการท่องเที่ยวนั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง ฮับสุวรรณภูมิ ฮับภาคเหนือ ก็ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับ action plan เพราะการปฏิบัตินั้นมีความซับซ้อน มีปัญหาหลายด้าน 

สำหรับข้อสังเกตจากสังคมที่มองว่าบุคคลใกล้ชิดรัฐบาล รวมทั้งเครือญาตินายกฯทักษิณ เองได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์การเกิดฮับนานาประเภท ไม่ว่าจะเป็นฮับสุขภาพ หรือ ฮับภาคเหนือ ที่ถูกมองว่านายกฯทักษิณ จงใจพัฒนาพื้นที่จังหวัดบ้านเกิดของตนเอง มากกว่าทำเพื่อส่วนรวม นั้น ในประเด็นดังกล่าวต้องแยกแยะว่าในเรื่องของการพัฒนาประเทศก็ต้องเดินหน้าทำต่อไป ภายใต้กติกาที่ถูกต้อง 

“ในเรื่องความเหมาะสมถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องคำนึงถึงและพิจารณากันต่อไป เมื่อเกิดการเปลี่ยนประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า นักธุรกิจก็ต้องทำงานหารายได้ หาโอกาส การที่ภาคการเมือง หรือนักการเมืองจะไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบกันต่อไป 

กติกาการแข่งขันถ้ามีอยู่อย่างถูกต้องก็ทำไป แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เหมะสม ประชาชนก็ต้องช่วยกันตรวจสอบ อยู่ที่มาตรฐาน วิจารณญาณของแต่ละคน” 

ดร.กิตติ ลิ่มสกุล 
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
ฮับการบิน 
สนามบินดอนเมืองมีลักษณะเป็นศูนย์กลางการบินอยู่แล้ว แต่ไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้มาใช้บริการ ดังนั้นเมื่อมี “สนามบินสุวรรณภูมิ” จึงจะสามารถรองรับจำนวนคนที่มาเพิ่มขึ้น 30-40 ล้านต่อปี ดังนั้นการมีสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ที่ใหญ่ขึ้นจึงถือเป็นขนาดที่เหมาะสม ในการที่จะเป็นคู่แข่งกับประเทศสิงคโปร์ได้ ซึ่งสินค้าด้านบริการของเราก็จะเป็นตัวชูต สินค้าต่างๆรวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วย อนุภูมิภาค ดังนั้นคิดว่ามีความเป็นไปได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ 

ฮับด้านสุขภาพ 
พบว่ายังติดปัญหาอยู่บ้าง เนื่องจากผู้ที่ให้บริการคือหมอ และโรงพยาบาลอยู่ในภาคราชการ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการร่วมมือหรือลงทุนในเชิงเอกชน ขณะที่ลูกค้าที่รอรับบริการมีอยู่จำนวนมากบริเวณรอบๆประเทศไทย คนที่มีเงินจริงมีไม่น้อยกว่า 100 ล้านคน อาทิประเทศอินเดียมีประชากรที่ร่ำรวยจริง ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านคนแน่นอน และคนกลุ่มนี้ต้องการที่จะได้รับการบริการ ดูแลด้านสุขภาพต่างๆ อยู่แล้ว คือกลุ่ม Hi-end มีเงินมากพอที่จะจ่ายได้ ซึ่งทางด้านการแพทย์ภายในประเทศของเขาเองด้อยคุณภาพกว่าโรงพยาบาลของไทย เพราะฉะนั้นการลงทุนในด้านนี้จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง 

ฮับยานยนต์ 
ฮับยานยนต์มีความเป็นไปได้มากเพราะประเทศญี่ปุ่นได้ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทยค่อนข้างมาก และจากนี้ไปไทยจะเป็นผู้ผลิตและส่งออกเพื่อจะส่งไปที่จีน อินเดีย ยุโรปและอเมริกา เพราะฉะนั้นฮับยานยนต์ มีความเป็นไปได้สูง แม้เทคโนโลยีจะไม่ใช่ของไทยทั้งหมดก็ตาม เป็นการลงทุนจากต่างประเทศทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น แต่แรงงานและฝ่ายจัดการเป็นคนไทย วัตถุดิบต่างๆ มาจากบริษัทในประเทศไทย หากเรายึดจุดนี้เป็นหลัก ไทยก็จะสามารถสร้างตลาดยานยนต์ขึ้นมาในเอเชียได้ 



โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 29 ธันวาคม 2548 15:12 น.