ทวงคืน ปตท.

ทรัพย์สินของแผ่นดิน พลังงานของชาติ ...จะปล่อยให้คนไม่กี่ตระกูล ครอบครองและกอบโกยผลประโยขน์ - ทวงคืน ปตท.. เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคนไทยทุกคน...◕‿◕..

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

แฉยักษ์น้ำมัน "โทเทล" และ "เชฟรอน" แอบค้ำจุนรบ. พม่า

เอิร์ธไรท์ส  อินเตอร์เนชั่นแนล  กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของสหรัฐเผย  "โทเทล"  บริษัทน้ำมันสัญชาติฝรั่งเศส  และ  "เชฟรอน"  บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของสหรัฐ  ให้การค้ำชูรัฐบาลทหารพม่าผ่านโครงการก๊าซธรรมชาติยาดานา  ทำให้รัฐบาลพม่ามีเงินซุกซ่อนอยู่ในธนาคารแดนลอดช่องเกือบ  5  พันล้านดอลลาร์

     "สัมปทานในแหล่งก๊าซยาดานาของโทเทลและเชฟรอน  ทำรายได้ให้รัฐบาลพม่าราว  4.83  พันล้านดอลลาร์  ในช่วงปี  2543-2551"  เอิร์ธไรท์สระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสฯ


     แมทธิว  สมิต  ผู้เขียนรายงานฉบับนี้ระบุว่า  รัฐบาลทหารพม่าไม่ได้รวมรายได้มหาศาลดังกล่าวในงบประมาณแผ่นดิน  แต่นำเงินเกือบทั้งหมดไปฝากไว้ที่ธนาคาร  2  แห่งของสิงคโปร์  คือ  โอซีบีซี  และดีบีเอส  ทั้งที่ปัจจุบันคนพม่าส่วนใหญ่ยังคงยากจนและได้รับสวัสดิการจากรัฐน้อยที่ สุดในบรรดาชาติเอเชีย

     รายงานยังระบุด้วยว่า  โทเทลและเชฟรอนพยายามปกปิดกรณีทหารพม่าที่ดูแลท่อก๊าซกระทำการทารุณประชาชน  ทั้งการบังคับใช้แรงงานและฆ่าทิ้ง

     เอิร์ธไรท์สเรียกร้องประชาคมโลกช่วยเพิ่มแรงกดดันโทเทลและเชฟรอนให้ยุติการกระทำดังกล่าวซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน

     โทเทลและเชฟรอน  เป็นบริษัทพลังงานต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในพม่า  การดำเนินธุรกิจของทั้งสองบริษัทนี้ไม่ได้ถูกจำกัดโดยมาตรการคว่ำบาตรทาง เศรษฐกิจที่สหรัฐและสหภาพยุโรปประกาศใช้ลงดาบพม่า  ทั้งนี้  แม้โทเทลจะถูกรุมวิจารณ์มานานเรื่องการสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า แต่มาตรการคว่ำบาตรของอียูกลับครอบคลุมเพียงการห้ามค้าอาวุธ  ไม้  แร่  โลหะ  และอัญมณีกับพม่าเท่านั้น  ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสเองก็แสดงท่าทีปกป้องโทเทลเสมอมา

     เช่นเดียวกับสหรัฐที่ยกเลิกแผนคว่ำบาตรที่จะช่วยกดดันให้เชฟรอนต้องถอนตัว จากแหล่งก๊าซยาดานา  หลังเกิดเหตุสลายการชุมนุมครั้งใหญ่ในพม่าเมื่อ  1  ปีก่อนหน้านี้

     โทเทลเป็นผู้ลงทุนหลักในโครงการแหล่งก๊าซยาดานา  ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี  2535  ปัจจุบันถือหุ้นอยู่  31.24%  ส่วนอีก  28%  ถือโดยเชฟรอน  ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากแหล่งนี้ซึ่งคิดเป็น  60%  ของก๊าซทั้งหมดในพม่าส่งขายให้กับไทย

     อย่างไรก็ดี   ล่าสุดทั้งโทเทลและเชฟรอนปฏิเสธที่จะชี้แจงหรือให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้.


ที่มา -


สภาสหรัฐฯ หงอไม่ลงดาบภาษี Chevron ในพม่า 


ผู้จัดการรายวัน -- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ตกลงถอนมาตรการลงโทษทางภาษีแก่ เชฟรอน คอร์ป (Chevron Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งมีหุ้นในหลุมก๊าซยาดานา (Yadana) ในอ่าวเมาะตะมะ ร่วมกับบริษัทน้ำมันฝรั่งเศส และไทย ก่อนจะผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรพม่าฉบับใหม่อย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.)
     
       ร่างมาตรการแต่เดิมนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องยุติการยกเว้นภาษีผลประกอบการของบริษัทสหรัฐฯ ทุกแห่งที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในพม่า ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในมาตรการใหญ่ที่ใช้คว่ำบาตรรัฐบาลทหารหลังการปราบปราม ประชาชนที่เดินขบวนในเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว
     
       การประชุมพิจารณามาตรการในสัปดาห์นี้ ได้มีการประนีประนอมระหว่างสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา ซึ่งทำให้มีการยกบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวกับเชฟรอนออกไป หลังจากบริษัทน้ำมันใหญ่แห่งนี้กล่าวว่า หากเลิกลงทุนในพม่าบริษัทอื่นๆ รวมทั้งจากอินเดีย และจีนก็จะเข้าแทนที่อยู่ดี สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน อ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐสภา
     
       “สิ่งหนึ่งที่ทำกัน ก็คือ ได้ยกข้อความที่เกี่ยวกับการยกเว้นภาษีที่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่อาจจะมีธุรกิจอยู่ในพม่า” เจ้าหน้าที่กล่าวกับเอเอฟพี อธิบายเกี่ยวกับมาตรการแซงชั่นที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับรองอย่างเป็น เอกฉันท์ผ่านออกมาเป็นร่างกฎหมายในวันเดียวกัน
     
       ร่างรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ “เรียกร้อง” ให้ “นักลงทุน” ในโครงการก๊าซ (ในพม่า) “พิจารณาโดยสมัครใจเลิกการลงทุนในเวลาข้างหน้า” ถ้าหากระบอบปกครองทหารไม่ยอมทำการปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศ
     
       เชื่อกันว่า ร่างรัฐบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายคว่ำบาตรพม่านี้ จะได้รับการรับรองจากวุฒิสภาอย่างไม่มีปัญหาใดๆ
     
       การพิจารณาคว่ำบาตรบริษัทธุรกิจ และนักลงทุนสหรัฐฯ ในพม่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในร่างรัฐบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายฉบับเดิมที่พยายามหาทางหยุดยั้งการนำเข้าสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับที่มีต้นทางจากพม่า ซึ่งกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ถูกส่งผ่านประเทศที่สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ไทย จีน ไต้หวัน มาเลเซีย และสิงคโปร์

ร่างรัฐบัญญัติของสองฝ่ายนี้ได้ผ่านการเจรจาอย่างระมัดระวังกับวุฒิสภา การแก้ไข (เนื้อหา) ทำให้สามารถได้ข้อมติผ่านการรับรองออกมา เอเอฟพีอ้างคำกล่าวของนายเฮาเวิร์ด เบอร์มัน (Howard Berman) ประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ สภาผู้แทนราษฎร
     
       ก่อนหน้านี้ รัฐสภาแห่งสหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายห้ามการนำเข้าอัญมณีจากพม่า เช่นเดียวกันกับรัฐบาลแคนาดา นายเบอร์มัน กล่าว
     
       ภายใต้แผนดั้งเดิมนั้น “จะไม่มีการยกเว้นภาษี” จากประกอบการในโครงการก๊าซยาดานาให้แก่เชฟรอน และบริษัทนี้ยังอาจจะถูกสั่งห้ามมิให้จ่ายเงินใดๆ แก่รัฐบาลทหาร จากผลประกอบการในโครงการที่ถือหุ้นร่วมกับบริษัท โตตาลออยล์ (หรือโททัลออยล์) บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส บริษัท ปตท.สำรวจ และผลิตปิโตรเลียม จำกีด (มหาชน) จากประเทศไทย และ รัฐวิสาหกิจน้ำมัน และก๊าซพม่าหรือ MOGE (Myanmar Oil & Gas Enterprise)
     
       เชฟรอน เป็นบริษัทจากโลกตะวันตกขนาดใหญ่ที่สุดที่เข้าลงทุนในพม่า โดยถือหุ้นส่วนน้อย 28% ในโครงการดังกล่าว หลังจากเข้าซื้อผลประโยชน์นี้จากบริษัทยูโนแคล (UNOCAL) หรือ Union Oil of California เมื่อปี 2548
     
       รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อพม่ามาหลายครั้ง ทั้งดานการค้า การลงทุน และการทูต แต่เชฟรอน (ยูโนแคลเก่า) เข้าไปมีกิจการในพม่าก่อนจะที่จะเริ่มมีมาตรการคว่ำบาตรเมื่อปี 2546
     
       ภายใต้กฎหมายพม่านั้น ถ้าหากเชฟรอนขายหุ้นในโครงการยาดานาออกไป ก็จะต้องจ่ายให้กับรัฐบาลทหารถึง 500 ล้านดอลลาร์
     
       รองประธานบริษัท เชฟรอน นายปีเตอร์ โรเบิร์ตสัน (Peter Robertson) ได้ให้การปกป้องการลงทุนในพม่าในการประชุมซักถามของสภาผู้แทนราษฎรในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเชฟรอนได้มีส่วนช่วยเหลือชาวพม่าที่ประสบภัยพิบัติจากไซโคลนนา ร์กิส
     
       “แผนการของเราคือ จะอยู่ในพม่าต่อไป.. ถ้าหากเราขายผลประโยชน์ไป เราจะต้องจ่ายภาษีเงินได้ให้แก่พวกเขา (รัฐบาลทหาร)” นายโรเบิร์ตสัน กล่าว
     
       อะไรก็ตามที่ไปจากเชฟรอน จะตกไปเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลพม่า รองประธานเชฟรอนกล่าว
     
       หลังพายุนาร์กิสพัดเข้าถล่มดินแดนปากแม่น้ำอิรวดี เขตย่างกุ้ง ไปจนถุงรัฐมอญ และรัฐกะเหรี่ยงในวันที่ 2-3 ก.ค.ปีนี้ เชฟรอนคอร์ปได้บริจาคเงิน 2 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ในนั้นบริจาคผ่านสหพันธ์สภากาชาดสากล จำนวน 1 ล้านดอลลาร์ กับอีก 1 ล้านดอลลาร์ จะจัดสรรให้ 4 องค์กรใหญ่ คือ องค์กรระหว่างประเทศ เพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM หน่วยเมอร์ซีคอร์ป (Mercy Corps) หน่วยงานช่วยเหลือเด็ก Pact and Save the Children
     
       “เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้ช่วยเหลืออย่างงเร่งด่วนแก่ เหยื่อไซโคลนร่วมกับองค์กรความช่วยเหลือต่างๆ” นายโรเบิร์ตสัน กล่าวในครั้งนั้น
     
       นายจิม แบล็คเวล (Jim Blackwell) ประธานบริษัทสำรวจ และผลิตในเอเชียแปซิฟิกของเชฟรอน (Chevron Asia Pacific Exploration & Production) กล่าวว่า การบริจาคเงินช่วยเหลือของเชฟรอนคอร์ป เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่มีต่อประเทศพม่า
     
       ปีที่แล้วประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรพม่า และความพยายามที่จะแก้ไขรัฐบัญญัติคว่ำบาตรพม่าได้เริ่มมาตั้งแต่นั้น ด้วยโทษฐานที่ยังคงทำธุรกิจอันเป็นแหล่งสนับสนุนด้านการเงินให้แก่คณะผู้นำ ทหารพม่า
     
       ก่อนหน้านั้น สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรอีกชุดหนึ่ง เล่นงานบริษัทพม่าในสิงคโปร์หลายแห่ง รวมทั้งบริษัทสายการบินแอร์พุกาม (Air Bagan) ของกลุ่มตู๋ (Htoo Group) ซึ่งสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นแหล่งรายได้ของคณะผู้นำทหารพม่าที่ครองอำนาจมานานเกือบ 50 ปีในขณะนี้

ปตท.ทุ่มงบพันล้านสร้างภาพ-แจกเงินให้เอ็นจีโอ มูลนิธิสืบ-ปิดปากข้าราชการระดับสูง กรมอุทยาทสัตว์ป่าและพันธุ์พืช


ปตท.ทุ่มงบพันล้านสร้างภาพ-แจกเงินให้เอ็นจีโอ มูลนิธิสืบ-ปิดปากข้าราชการระดับสูง กรมอุทยาทสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

 
          www.legendnews.net - พลังและอำนาจของเม็ดเงินโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ยักษ์ใหญ่ปตท.ทุ่มสร้างภาพ ซื้อสื่อ ซื้อใจชุมชนเกือบ 1,400 ล้านบาทในห้วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงานไม่ถูกตั้งข้อกังขาถึงความฉ้อฉล เผย อสมท. กวาดไม่ต่ำกว่าปีละร้อยล้าน ส่วนรายการคนดัง “วู้ดดี้ - สรยุทธ์” รับเละ 50 กว่าล้าน ทำเนียนกล่อมสังคมไทย “พลิกใจให้พอเพียง” เพื่อปตท.จะได้ฟันกำไรสูงสุดปีละเกือบแสนล้าน
      
       หากเครือปตท.จะดำเนินธุรกิจพลังงาน ซึ่งถือเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยยึดมั่นดังคำโฆษณา “พลิกใจให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืน” และ “ปตท.(เป็น)พลังที่ยั่งยืน เพื่อไทย” อย่างแท้จริงแล้ว ความเดือดร้อนของประชาชนอันเป็นผลมาจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะต้นทุนค่าพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นแล้วส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่คงจะทุเลาเบาบาง สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงและมีสุขที่ยั่งยืนจริงๆ
      
       แต่คำโฆษณาของปตท.ก็เป็นเพียงแค่การสร้างภาพเพื่อให้สังคมเคลิบเคลิ้ม ไม่สงสัย ไม่ตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีการปรับขึ้นราคาก๊าซฯ น้ำมัน ฯลฯ ที่ ปตท. มักมีคำอธิบายให้ชวนเชื่อถือ และรัฐบาลซึ่งความจริงแล้วมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนคอยถือหางปตท. โดยมีสื่อร่วมมือร่วมใจช่วยสร้างภาพให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่พลังงานแห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยธรรมาภิบาลอีกทั้งทำให้สังคมเชื่อว่า เม็ดเงินกำไรตั้งแต่ ปี 2547 ถึง 9 เดือนแรกของ ปี 2554 ที่ปตท. มีกำไรสุทธิรวมกันถึง 7 แสนล้านบาท เป็นความสามารถทางธุรกิจโดยแท้
      
       เบื้องหลังการสร้างภาพและสร้างเครือข่าย “สื่อมวลชนเพื่อปตท.” นั้น สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รายงานว่า บมจ.ปตท. ยังเป็นยักษ์ใหญ่ที่ใช้เงินเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ จ้างทำมวลชนสัมพันธ์ เป็นสปอนเซอร์รายการแข่งขันกีฬา คอนเสิร์ต ผ่านสื่อต่างๆ มากที่สุด
      
       โดยรอบปีงบประมาณ 2554 (1 ต.ค. 2553 - 30 ก.ย. 2554) ที่ผ่านมา ปตท.ได้ใช้งบประมาณว่าจ้างหน่วยงาน องค์กรเอกชน โฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการและกิจกรรมต่างๆ รวม 44 รายการ วงเงินรวม 651.1 ล้านบาท (ดูตาราง) เมื่อเทียบกับงบประมาณ 2553 ปตท.ได้ใช้เงินประชาสัมพันธ์ ผ่านบริษัทต่างๆ 34 รายการ รวมเม็ดเงิน 687.2 ล้านบาท หากรวม 2 ปี จะพบว่า ปตท.หว่านเม็ดเงินเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์สูงเกือบ 1,400 ล้านบาท 
      
       สำหรับสื่อที่ได้รับการว่าจ้างมากที่สุดในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา เรียงตามลำดับวงเงิน มีดังนี้
      
       1.บมจ.อสมท จำนวน 107 ล้านบาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ 2010 ครั้งที่ 16 วงเงิน 7,000,000 บาท (15 ธ.ค. 53) และ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในรายการโทรทัศน์วิทยุ และกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านสื่อในเครือบริษัท ปตท. (มหาชน) วงเงิน 100,000,000 บาท (12 พ.ค. 54)
      
       2.บริษัท ทีบี ดับบลิวเอ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 100,000,000 บาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันใสและภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมัน ปตท.(17 มี.ค. 54)
      
       3.บริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด (นายวินิจ เลิศรัตนชัย ถือหุ้นใหญ่) จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดงาน “ช้างร่วมฉลองมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว” 30,000,000 บาท (19 เม.ย.54)
      
       4.บมจ. บีอีซี.เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำนวน 29,000,000 บาท ได้แก่ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดการแข่งขัน PTT-EGAT Snooker World Cup 2011 วงเงิน 20,000,000 บาท และ จ้างโฆษณาผลิตภัณฑ์(น้ำมันใส)ปตท.ในรายการโทรทัศน์ “เรื่องเล่าเช้านี้” 9,000,000 บาท
      
       5.สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 25,000,000 บาท ได้แก่ โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการสนับสนุนแข่งขันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ภายใต้โครงการ 1 สมาคมกีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ
      
       แต่หากจะนับความถี่จะพบว่า รายการว่าจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวีบ่อยครั้งคือ จ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ในรายการ “ข่าวภาคค่ำ ททบ.5” ผ่านบริษัท 3 เอ.มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ของนายสมชาย รังษีธนานนท์) จำนวน 2 ครั้ง
      
       ว่าจ้างโฆษณาทางรายการ “เช้าดูวู้ดดี้” และรายการ “The Idol คนบันดาลใจ” 2 ครั้ง (ผ่าน บริษัท ทีวี แสตนดาร์ด จำกัด ของ นางสาว อันวิดา อภิจารี และ บริษัท มีเดีย แอสโซซิเอตเต็ด จำกัด) และว่าจ้างประชาสัมพันธ์ผ่าน“เรื่องเล่าเช้านี้” และรายการ “เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์” 2 ครั้ง (บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดาและ บมจ. บีอีซี.เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์)
      
       หากนับวงเงินที่ ปตท. หว่านโปรยว่าจ้างรายการคนดังข้างต้น คือ รายการ “เช้าดูวู้ดดี้” และรายการ “The Idol คนบันดาลใจ” 2 ครั้ง ครั้งแรก 6 ล้านบาท และครั้งที่สอง อีก 9.6 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 15.6 ล้านบาท ส่วนบริษัทไร่ส้ม รับไปเนื้อๆ ครั้งแรก 16.5 ล้านบาท และครั้งที่สอง 9 ล้านบาท รวม 25.5 ล้านบาท และเมื่อปี 2553 บริษัทไร่ส้ม ได้รับว่าจ้างให้โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. วงเงิน 11.7 ล้านบาท รวมๆ แล้วรายการคนดังรับทรัพย์จากปตท.ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา สูงถึง 52.8 ล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าแปลกใจที่นักเล่าข่าวคนดัง จะไม่ขุดคุ้ยประเด็นความฉ้อฉลปล้นเงียบประชาชนของปตท.ออกมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้อย่างที่ควรจะเป็น
      
       ในรายการว่าจ้างโฆษณาผ่านสื่อค่ายยักษ์ใหญ่ ปตท.เมื่อปีที่ผ่านมา ปตท.ยังเลือกใช้บริการของเครือเดอะเนชั่น ที่รับไปเนื้อๆ รวม 16 ล้านบาท
      
       นอกจากนี้ ยังพบว่ามีว่าจ้างเพื่อดำเนินงานมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปยังภาคเหนือ(นครสวรรค์) ผ่าน บริษัท ซีวิลโปร จำกัด วงเงิน 16,968,000 บาท (21 เม.ย. 54)
      
       ก่อนหน้านี้ ปีงบประมาณ 2553 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ใช้เงินประชาสัมพันธ์ ผ่านบริษัทต่างๆ 34 รายการ รวมเม็ดเงิน 687.2 ล้านบาท ได้แก่
      
       1.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด 12 ล้าน บาท
      
       2.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน บริษัท แพนแทงเกิลโปรโมชั่น จำกัด 15 ล้านบาท
      
       3.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย 7,500,000 บาท
      
       4.ดำเนินการจัดงานพิธีมอบรางวัล งานลูกโลกสีเขียวครั้งที่ 11 และงานการประกวดการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ครั้งที่ 4 ผ่าน บริษัท แม่น้ำร้อยสาย จำกัด 5,686,128 บาท
      
       5.ประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางการแข่งขันเทนนิสเอทีพีรายการPTT Thailand Open2009 ผ่าน บมจ.บีอีซี-เทโรเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 60 ล้านบาท (21 ธ.ค. 2552)
      
       6.ประชาสัมพันธ์ ปตท.ในการจัดกอล์ฟ The RoyalTrophy ผ่าน Entertainment Group Kimited 23.1 ล้านบาท
      
       7.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25(สำนักงานใหญ่) ผ่าน บริษัท เพชรจำปา จำกัด 10 ล้านบาท
      
       8.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์ รายการคนไทยหัวใจไม่ท้อ ผ่าน บริษัท ฮันนี่ แอนด์ เฟรนด์ เอ็นเทอร์เทนเท้นท์ จำกัด(มหาชน) 5.2 ล้านบาท
      
       9. โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปทต. ผ่าน บริษัท เจวีดี แมเนจเม้นท์ จำกัด 8,079,000 บาท
      
       10.โฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร ผ่าน บริษัท ทีดับเบิลเอ (ประเทศไทย) จำกัด 120 ล้านบาท
      
       11. โฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ธิงค์วิซ จำกัด 13 ล้านบาท
      
       12.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท มีเดีย แอสโซซิเอตเต็ด จำกัด 9.6 ล้านบาท
      
       13.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท บางกอก เยลล์ จำกัด 6.5 ล้านบาท
      
       14.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ผ่านสื่อ 16 ล้านบาท
      
       15.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ทางรายการจัดการแข่งขันพัฒนานักเทนนิสอาชีพและเยาวชนไทยปี 2553 ผ่าน บริษัท ไทยเทนนิส แม็กกาซีน จำกัด 7 ล้านบาท (3 มี.ค. 2553)
      
       16.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์ ผ่าน บริษัท ไร่ส้ม จำกัด 11,725,000 บาท (3 มี.ค. 2553) 
      
       17. โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางวิทยุ ผ่าน บริษัท ฟาติมาบรอดคาสติ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 7.2 ล้านบาท
      
       18.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท มาร์เก็ต รีอินฟอร์ส จำกัด 6,069,000 บาท
      
       19. Support SA ROOP KHEM KHONG SOOD THAI project 6thfor CHULALONGKORN UNIVERSITY BROADCASTING STATION ผ่าน CHULALONGKORN UNIVERSITY BROADCASTING STATION 1 ล้านบาท
      
       20.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่าน บริษัท ฟร้อนท์เพจ จำกัด 5,720,000 บาท
      
       21.โฆษณาประชาสัมพันธ์กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันใสและส่งเสริมภาพลักษณ์สถานีบริการ ปตท.ปี 2553 ผ่าน บริษัท ทีบีดับเบิลเอ(ประเทศไทย) จำกัด 100 ล้านบาท
      
       22.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.สร้างภาพลักษณ์ในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ผ่าน บริษัท ริพเพิล เอฟ เฟคท์ จำกัด 10 ล้านบาท (12 มี.ค. 2553)
      
       23.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทางโทรทัศน์รายการ องค์กรเกื้อแผ่นดิน ผ่าน บริษัท บ้านบันดาลใจ จำกัด 5,950,000 บาท
      
       24.งานเหมาพัฒนาชุมชนโครงการรักษ์ป่า สร้างคน 84 ตำบลวิถีพอเพียง ผ่าน บริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด 54,908,820 บาท 
      
       25.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทาง โทรทัศน์ รายการพลังงานเพื่อชีวิต ผ่าน บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด 6,959,000 บาท
      
       26.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท.ทาง โทรทัศน์ วิทยุและสื่อต่างๆในเครือข่าย ผ่าน บมจ. อสมท 90 ล้านบาท
      
       27.บริษัทที่ปรึกษาโครงการท่อฯถนนปู่เจ้าสมิงพราย ผ่าน บริษัท เนเจอร์อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด 8,985,900 บาท
      
       28.บริการจัดการโครงการเพื่อเด็กและเยาวชน ผ่าน บริษัท อิน เฮ้าส์ เอเยนซี่ จำกัด 6,300,000 บาท
      
       29.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 4 (นวนคร-รังสิต) ผ่าน บริษัท ซีวิล โปร จำกัด 5,639,700 บาท (9 เม.ย. 2553)
      
       30.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 4 ผ่าน บริษัท ซีวิล โปร จำกัด 6,606,600 บาท
      
       31.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ผลิตภัณฑ์ ปตท. ทางโทรทัศน์รายการข่าวภาคค่ำ ททบ.5 ผ่าน บริษัท 3 เอ.มาร์เก็ตติ้ง จำกัด 5,175,000 บาท
      
       32.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ นิคมอุตสาหกรรม สมุทรสาคร-ถนนเศรษฐกิจ ผ่าน บริษัท เอสบี มูฟ จำกัด 9,600,800 บาท
      
       33.จ้างมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี-พญาไท ผ่าน บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด 7.8 ล้านบาท
      
       34.โฆษณาประชาสัมพันธ์ ปตท. ผ่าน บริษัท พีน่า มีเดีย จำกัด 12 ล้านบาท รวม 2 ปี ปตท.ใช้งบฯประชาสัมพันธ์ประมาณ 1,338 ล้านบาท ผ่านเอกชนประมาณ 40 ราย
      
       ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า บริษัท ริพเพิล เอฟเฟคท์ จำกัด ซึ่งผู้ทำมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที่มาบตาพุด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท นางสาว โศภิน เงินสวัสดิ์ นางบุญสม บุญมาก ถือหุ้นใหญ่ 
      
       บริษัท ซีวิล โปร จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ 4 มีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท นายสุวรรณ บัณฑิต นางสาววิจิตรา ฉัตรสุวรรณ ถือหุ้นใหญ่ 
      
       บริษัท เอสบี มูฟ จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ นิคมอุตสาหกรรม สมุทรสาคร-ถนนเศรษฐกิจ มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท นางสาวสายชู โทสูงเนิน นายประสิทธิ์ ขันตี ถือหุ้นใหญ่
      
       ส่วน บริษัท ไทยคอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ผู้ทำมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการกลุ่มลูกค้าท่อย่อย ปทุมธานี-พญาไท มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท นายสนธยา ทิพย์อาภากุล ถือหุ้นใหญ่ 
 
      
 
      

 ปตท.ทุ่มงบพันล้านสร้างภาพ-แจกเงินให้เอ็นจีโอ มูลนิธิสืบ-ปิดปากสื่อชั่วสายเอ็นจีโอ

ม็อบแท็กซี่ค้านขึ้นราคาเอ็นจีวี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า กรุงเทพฯ
 
         www.legendnews.netผลพวงจากการปล่อยให้เครือปตท.กลุ่มทุนสามานย์ใต้เสื้อคลุมรัฐวิสาหกิจผูกขาดธุรกิจพลังงานทั้งระบบสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่จบสิ้น ขนส่ง-แท็กซี่ก่อม็อบใหญ่กดดันปตท. รัฐบาลทรยศปรับขึ้นค่าก๊าซเอ็นจีวี ประธานกมธ.ตรวจสอบทุจริตฯ วุฒิสภา ชี้ขาดความโปร่งใส ต้นทุนเนื้อก๊าซของไทยราคาต่ำกว่าตลาดโลกเกือบครึ่ง แฉอ้างขาดทุนหวังเงินชดเชยจากรัฐตามฟอร์ม
      
       การชุมนุมคัดค้านการปรับขึ้นค่าก๊าซเอ็นจีวี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 นำโดยสหพันธ์ขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการขนส่งทั้งรถบรรทุก รถร่วมบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) และบริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) รวมถึงสหกรณ์รถแท็กซี่ ที่นัดชุมนุมใหญ่บนถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ บมจ.ปตท. สำหรับรถบรรทุกและรถบัส ส่วนรถแท็กซี่ รวมตัวกันบริเวณลานพระรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 และล้อมรอบทำเนียบรัฐบาล นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการดำเนินนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่ปล่อยให้เครือ ปตท. ผูกขาดธุรกิจพลังงานทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทั้งก๊าซฯ และน้ำมัน
      
       ความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด จะหมุนเวียนเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น ตราบใดที่ ปตท. ได้หลงลืมปรัชญาการก่อเกิดองค์กรพลังงานของชาติแห่งนี้ว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อใคร และมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจแสวงหากำไรสูงสุดด้วยการอาศัยสถานะรัฐวิสาหกิจที่ใช้อำนาจมหาชนของรัฐแสวงหาประโยชน์จากสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งผลักดันให้รัฐบาลออกนโยบายและมาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อการผูกขาดธุรกิจพลังงานของตนเอง เป็นสำคัญ
      
       ความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ หากมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น จะพบว่า ปตท.ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมนโยบายการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในภาคขนส่ง โดยอ้างเหตุผลว่า ก๊าซเอ็นจีวี เป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาด เหมาะสำหรับใช้ในภาคขนส่งทั้งรถบรรทุก รถบัส รถแท็กซี่ ส่วนก๊าซแอลพีจีซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการขนส่งอยู่นั้นไม่มีความปลอดภัย เป็นการใช้ก๊าซฯไม่ถูกประเภท และทำให้ก๊าซแอลพีจีขาดแคลน
      
       ทั้งที่ความจริงแล้วทั่วโลกต่างใช้ก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งกันทั้งนั้น และก๊าซแอลพีจีไม่ได้ขาดแคลนอย่างที่ปตท.กล่าวอ้าง แต่เป็นการสร้างเรื่องกดดันเพื่อให้รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจีในราคาตลาดโลก หรือไม่เช่นนั้นรัฐก็ต้องชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลวิธีที่ปตท.ทำแล้วได้ผล เพราะจนถึงเวลานี้รัฐบาลยังต้องควักเงินกองทุนน้ำมัน เงินที่เก็บจากประชาชนผู้ใช้น้ำมันเบนซินมาชดเชยราคาก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีให้กับปตท.เป็นเงินรวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท
      
       กรณีการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นวีจีก็เช่นกัน นโยบายนี้ทั้งรัฐบาลและปตท.ต่างร่วมรณรงค์ให้รถขนส่ง แท็กซี่ หันมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีจนสำเร็จ กล่าวเฉพาะกรณีแท็กซี่นั้น ปตท.ผลักดันให้รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน ออกมาตรการสนับสนุนด้วยการควักเงินกองทุนน้ำมันรวมกับงบอื่นๆ ประมาณ 1,200 ล้านบาท มาสนับสนุนแท็กซี่ที่ติดก๊าซแอลพีจีให้เปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีเพราะราคาก๊าซถูกกว่าและปลอดภัยกว่า โดยตั้งเป้าหมาย 30,000 คัน
      
       แต่ทว่ามาตรการบรรเทาผลกระทบด้านพลังงานช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่ด้วยการติดตั้งเอ็นจีวีกลับกลายเป็นมาตรการขูดเลือดแทน เมื่อคณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 อนุมัติให้มีการปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี ตามที่ปตท.เรียกร้องและคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นชอบ ให้ปรับขึ้นราคาเอ็นจีวีกิโลกรัมละ 6 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 รวมปรับ 12 ครั้งๆ ละ 0.50 บาท จากราคาปัจจุบัน 8.50 บาทต่อกิโลกกรัม โดยอ้างเหตุผลเดิมๆ คือ ต้นทุนค่าก๊าซและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ปตท.ต้องแบกรับภาระการขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทแล้ว
      
       “ต้นทุนเนื้อก๊าซธรรมชาติปตท.ยังไม่รวมค่าขนส่งและบริหารจัดการอยู่ที่เฉลี่ย 9.90-10 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นราคาก๊าซ NGV ตามกรอบที่รัฐกำหนดคือทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกก.จนครบ 6 บาทในสิ้นปี 2555เพื่อลดภาระขาดทุนในการนำไปปรับปรุงการบริการที่ดีขึ้น” พีระพงษ์ อัจฉรียชีวิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลต่อสื่อ
      
       เช่นเดียวกับ เติมชัย บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.ระบุว่า ต้นทุนการขายของ ปตท.หน้าปั๊มในขณะนี้ เท่ากับ 15.50 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นการจำหน่ายในอัตรา 8.50 บาท จึงเป็นอัตราที่ขาดทุน และ ปตท.พร้อมให้พิสูจน์ต้นทุนการขนส่งและบริหารจัดการจากสถานีแม่ไปสถานีลูกที่มีต้นทุนประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม
      
       การอ้างเหตุผลเพราะขาดทุนทั้งจากค่าเนื้อก๊าซ ค่าขนส่ง ค่าบริหารจัดการของปตท. ถูกโต้แย้งจากฝ่ายสหพันธ์ขนส่งฯ และเครือข่าย ว่าเป็นการขึ้นราคาที่ไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการขนส่งและรถแท็กซี่ และไม่เชื่อว่าต้นทุนค่าขนส่งก๊าซฯ ไม่ได้สูงดังที่ปตท.กล่าวอ้าง
      
       ที่สำคัญ คือ ตั้งคำถามจาก รสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่ระบุว่า ขณะนี้ราคาก๊าซดิบในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง เวลานี้อยู่ที่ 3.37 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเมื่อเทียบกับราคาตลาดโลก จะเห็นว่า ปตท.ซื้อก๊าซในประเทศถูกกว่าตลาดโลกถึง 40 - 67% การที่ปตท.กล่าวอ้างว่ามีต้นทุนเนื้อก๊าซฯ อยู่ที่ 9.90 - 10 บาทต่อกิโลกกรัม ไม่น่าจะถูกต้อง และปตท.มักอ้างว่าราคาขายไม่อิงตลาดโลกทำให้ขาดทุน แต่ไม่เคยเอ่ยถึงต้นทุนเนื้อก๊าซที่ถูกกว่าตลาดโลกอย่างมากแต่อย่างใด 
      
       นอกจากนั้น ต้นทุนค่าขนส่งก๊าซเอ็นจีวีที่สูงถึง 40% ที่ปตท.กล่าวอ้างยังน่าสงสัย ไม่นับว่า การส่งเสริมให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถเล็กนั้นเป็นสิ่งไม่ถูกต้องเพราะรถเล็กจะมีปัญหาในการเติมก๊าซจากปั๊มที่อยู่นอกแนวท่อ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น การส่งเสริมให้ใช้ก๊าซเอ็นจีวีควรใช้สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ และสร้างปั๊มตามแนวท่อก๊าซเป็นหลักเท่านั้น
      
       “ต้นทุนที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริง และไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถูกผูกขาดโดยปตท. น่าจะต้องมีการตรวจสอบ” ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าว และยังตั้งคำถามต่อว่า ปตท.มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำไมถึงไม่สามารถทำราคาให้เหมาะสมได้ ทั้งที่เรามีต้นทุนเนื้อก๊าซถูกเหมือนผลไม้ในสวนเราเอง แต่ปตท.กลับทำเหมือนขาดทุนตลอดเวลา ควรมีการตรวจสอบว่ามีการผ่องถ่ายกำไรไปยังบริษัทลูกหรือไม่ การบอกว่าขาดทุนเป็นเรื่องเพื่อให้ได้รับเงินชดเชยจากรัฐมากกว่า